หน้าเว็บ

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม


วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

รูปแบบและขนาดวิธีใช้ไมยราบ

 ประโยชน์และสรรพคุณไมยราบ

  • ใช้ขับปัสสาวะ
  • แก้ไตพิการ
  • แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ
  • ขับระดูขาว
  • แก้ไข้ออกหัด
  • แก้กระเพาะอาหารอักเสบ
  • แก้ลำไส้อักเสบ
  • แก้เด็กเป็นตานขโมย
  • แก้ผื่นคัน
  • แก้ตาบวมเจ็บ
  • ลดน้ำตาลในเลือด
  • ใช้คลายเครียด
  • แก้แผล                                                                                                                                                                 
  • ใช้แก้เริม
  • แก้งูสวัด
  • โรคพุพอง
  • โรคไฟลามทุ่ง
  • ใช้แก้ไอ
  • ขับเสมหะ
  • แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง
  • บำรุงกระเพาะอาหาร
  • ทำให้ตาสว่าง
  • ช่วยระงับประสาท
  • แก้บิด
  • รักษาอาการปวดประจำเดือน
  • แก้ริดสีดวงทวาร


รูปแบบและขนาดวิธีใช้ไมยราบ

ลดคอเลสตอรอล น้ำตาลในเลือด คลายเครียด ใช้ทุกส่วนมาหั่นแล้วคั่วไฟอ่อนๆ นำไปชงชาดื่ม

แก้เบาหวาน นำไมยราบทั้งต้น ผสมกับต้นครอบฟันสี เอาอย่างละเท่าๆ กัน หั่นให้เป็นฝอย ตากแดดให้แห้ง คั่วไฟอ่อนๆ ต้มน้ำดื่มหรือชงชา หรือใช้ช่วยรักษาโรคกษัยโดยการนำไมยราบทั้งต้น มาสับเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำมาตากจนแห้งสนิทและนำมาต้มกินต่างน้ำ

แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ บวม นำไมยราบทั้งห้า มาต้มดื่ม

แก้งูสวัดและเริม ตำให้ละเอียดผสมเหล้า แล้วคั้นเอาน้ำ ทาวันละ 3-4 ครั้ง

แก้อาการลมพิษ ใช้ต้นไมยราบตำผสมเหล้าโรง ทาบริเวณที่เป็นลมพิษ

แก้แผลมีหนอง นำใบมาตำใส่ข้าวสุก เกลือ 1 เม็ด พิมเสน 2-5 เกล็ด ดำให้ละเอียด พอกแผลที่มีหนอง พอกหัวฝี

แก้แมลงสัตว์กัดต่อย นำใบมาขยี้แล้วแปะตรงที่มีอาการ

แก้ตกขาว ใช้ไมยราบกับหญ้าหวาดหลุบ นำทั้งสองอย่างนี้มาต้มดื่ม และต้มอาบ


ลักษณะทั่วไปไมยราบ

ไมยราบจัดเป็นไม้ล้มลุกฤดูเดียวหรือหลายฤดู ลำต้น เล็กเรียวเลื้อยทอดไปบนพื้นดิน ลำต้นสีเขียวแกมม่วงหรือสีม่วงแดง ผิวลำต้นมีหนาม ปลายหนามโค้งเล็กน้อย หนามยาว 2-3 มิลลิเมตร ลำต้นอ่อนมีขนขึ้นปกคลุม ใบ ใบประกอบเรียงตัวแบบสลับแบบขนนก 2 ชั้น โคนก้านใบมีหูใบ 2 อันแกนกลางของก้านใบยาว 2.5-5 เซนติเมตร ส่วนก้านใบย่อยเรียงตัวแบบตรงข้ามจำนวน 8-16 คู่ ใบย่อยไวต่อการสัมผัส เมื่อมีวัตถุมากระทบจะหุบใบทันที ผิวท้องใบมีขนปกคลุม ผิวหลังใบเรียบ ใบย่อยขนาด 1-2 × 3-13 มิลลิเมตร 

           ดอกออกเป็นช่อกลมสีชมพู เป็นดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ ออกที่บริเวณซอกใบ ก้านดอกมีความยาวประมาณ 2.5-4 เซนติเมตร ดอกมีจำนวนมาก ไร้ก้าน มีกลีบเลี้ยงขนาดเล็กมาก ประมาณ 0.1 มิลลิเมตร กลีบดอกจะคล้ายกับรูประฆังแคบ มีความยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร กลีบดอกจะมนกลม มีความยาวประมาณ 0.5-0.8 มิลลิเมตร มีเกสรตัวผู้อยู่ 4 อัน และมีรังไข่ยาวประมาณ 0.5 มิลลิกรัม

           ผลมีลักษณะเป็นฝักแห้ง แบน ยาวเรียว ฝักมีหลายฝักในแต่ละช่อดอก ลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ตรง และยาวประมาณ 1.5-1.8 เซนติเมตร มีขนแข็งปกคลุมตามสันขอบผล ส่วนเมล็ดมีสีน้ำตาลอ่อน เมล็ดแบนเป็นสันนูนตรงกลาง หนึ่งผลมีเมล็ดประมาณ 2-5 เมล็ด


การขยายพันธุ์ไมยราบ

ไมยราบสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด แต่เนื่องจากถูกจัดให้เป็นวัชพืช และตัวของไมยราบเองก็มีหนามทำให้ยากต่อการกำจัด จึงทำให้ปัจจุบันไม่มีการปลูกเพื่อนำไปใช้ประโยชน์  แต่อย่างใดส่วนการขยายพันธุ์ที่พบส่วนมากจะเป็นการขยายพันธุ์โดยธรรมชาติเอง  ซึ่งไมยราบเป็นพืชที่ขึ้นง่าย ทนแล้ง และสามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว สามารถขึ้นได้ทุกสภาพดินและสภาพอากาศ




การศึกษาทางเภสัชวิทยา

ฤทธิ์ต้านพิษงูเห่าสารสกัดน้ำจากรากไมยราบ ( Mimosa pudica  Linn. ) แสดงฤทธิ์ต้านพิษงูเห่า เมื่อทดลองด้วยวิธี การหาขนาดพิษงูเห่าที่ทำให้หนูถีบจักรตายจำนวนครึ่งหนึ่ง(LD50) ศึกษาความเป็นพิษต่อกล้ามเนื้อโดยวัดการทำงานของเอนไซม์ครีอะทีน ฟอสโฟไคเนส ( creatine phosphokinase, CPK ) และวัดการทำงานของเอนไซม์ต่างๆที่ส่งผลต่อความเป็นพิษของพิษงูเห่า เมื่อบ่ม (incubate) สารสกัดไมยราบกับพิษงูเห่าที่ 37 องศาเซลเซียส นาน 60 นาที แล้วฉีดเข้าเส้นเลือดดำที่หางหนูมีผลเพิ่มขนาดพิษงูเห่าที่ทำให้หนูตายครึ่งหนึ่ง ( LD50 ) ประมาณ 3 เท่า เมื่อบ่มสารสกัดกับพิษงูเห่าที่ 37 องศาเซลเซียส นาน 60 นาที แล้วฉีดเข้ากล้ามเนื้อขาหนูพบว่ามีผลป้องกันพิษงูเห่าที่เพิ่มระดับเอนไซม์ CPK ในพลาสมา เมื่อบ่มสารสกัดกับพิษงูเห่าที่37 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที แล้วนำไปวัดค่าการทำงานของเอนไซม์ชนิดต่างๆที่ส่งผลต่อความเป็นพิษของพิษงูเห่าพบว่ามีผลยับยั้งฤทธิ์ของเอนไซม์โปรทีเอส (protease) , ฟอสโฟไลเปสเอ 2 (phospholpase A2) และอะเซทิลโคลีนเอสเตอเรส (acetylcholin esterase)

            สารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ มีฤทธิ์แก้ปวดต้านการอักเสบ    และยังมีรายงานการศึกษาวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับฤทธิ์ลดการอักเสบ คือ มีการศึกษาในคนทั้งเพศชาย-หญิง โดยให้รับประทานยาตำรับซึ่งมีสารสกัดใบไมยราบหรือสวนทางทวารหนักพบว่าสามารถลดการอักเสบได้ สารสกัดด้วยน้ำจากใบมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ  สารสกัดเอทานอลจากทั้งต้นมีฤทธิ์ลดไขมัน  สารสกัดจากรากและส่วนเหนือดินด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์ คลอโรฟอร์ม และเมธานอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ

            นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาอื่นๆ อีกเช่น  ฤทธิ์ปกป้องตับ สารสกัดเมทานอลจากรากไมยราบ ขนาด 400 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สามารถป้องกันพิษต่อตับได้จากค่าการทำงานของตับ ได้แก่ SGOT, SGPT และบิลิรูบินในซีรั่ม ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01) เมื่อเทียบกับ Silymarin ส่วนสารสกัดด้วยเมทานอลจากใบมีฤทธิ์ปกป้องกันพิษต่อตับได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ซึ่งเห็นได้จากแนวโน้ม Activity ของเอนไซม์ในซีรั่มเมื่อเทียบกับ Silymarin   ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด  สารสกัดด้วยน้ำจากใบไมยราบ ขนาด 200  มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สามารถลดระดับน้ำตาลในหนูปกติได้ดีที่กว่ายา Glibenclamide อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ  (p≤0.05 และ p≤0.01) ส่วนในหนูเบาหวาน สารสกัดไมยราบ ขนาด 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ใกล้เคียงกับ lnsulin และสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่ายา Glibenclamide ในชั่วโมงที่ 3 และ 4 ของการทดลองได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05 และ p≤0.01) และสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดในหนูเบาหวาน โดยการฉีดเข้าทางช่องท้อง ขนาด 600 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยมีค่าใกล้เคียงกับหนูเบาหวานที่ได้รับยา Metformin ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบขนาด 250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม มีฤทธิ์ในการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดของหนูถีบจักรปกติ ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01) และสารสกัดจากต้นโมยราบยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร เช่น  Escherichia coli, Bacillus cereus and Pseudomonas aeruginosa 


การศึกษาทางพิษวิทยา   

สารสกัดทั้งต้นด้วยเอทานอล:น้ำ เมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องของหนูถีบจักร พบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายเป็นจำนวนครึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่าเท่ากับ 1 ก./กก


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

  1. ไม่ควรใช้ในสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร
  2. ไม่ควรใช้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
  3. ไม่ควรรับประทานต่อเนื่องกันเป็นเวลานานเพราะจะออกฤทธิ์ต่อสมองส่วนกลาง
  4. ในการใช้ไมยราบเป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคตามตำรายาต่างๆ ควรใช้ในปริมาณที่พอดีตามที่ตำรับตำรายากำหนดไว้ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากเกินไปหรือใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไปเพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ ส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือผุ้ป่วยที่ต้องรับการรับประทานยาต่อเนื่อง หากต้องการใช้ไมยราบในการช่วยรักษาโรคควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ

 

เอกสารอ้างอิง

  1. ไมยราบ.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  2. อำพา คนชื่อ,ขวัญยืน เลี่ยมสำโรง,สุภาวดี ตรีรัตนถวัลย์,ศรีอรุณ โพธิ์เกตุ.ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดครอบฟันสีและไมยราบ.วารสารวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.ปีที่46.เล่มที่2.หน้า228-237
  3. นันทวัน บุณยะประภัศร และอรนุช โชคชัยเจริญพร.(2539).สมุนไพรไม้พื้นบ้าน(1).กรุงเทพฯ:ประชาชน.
  4. ฤทธิ์ต้านพิษงูเห่าของรากไมยราบ.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  5. Sowmya, A., and Ananthi, T. (2011). Hypolipidemic activity of Mimosa pudica Linn on butter induced hyperlipidemia in rats. Asian Journal of Research in Pharmaceutical Sciences 1(4): 123-126.
  6. Sangma, T. K., Meitei, U. D., Sanjenbam, R. and Khumbongmayum, S. (2010). Diuretic property of aqueous extract of leaves of Mimosa pudica Linn. On experimental albino rats. Journal of Natural Products 3: 172-178.
  7. Agrawal RC, Kapadia LA.  Treatment of piles with indigenous drugs-pilex tablets and ointment along with stypoln.  Probe 1982;21(3):201-4.
  8. Chandrashekar, D. K. and Manthale, D.M. (2012). Invention of analgesic and anti-inflammatory activity of ethanolic extract of Mimosa Pudica Linn leaves. Journal of Biomedical and Pharmaceutical Research 1(1): 36-38.
  9. Champanerkar, P.A., Vaidya, V.V., Shailajan, S. and Menon, S.N. (2010). A sensitive, rapid and validated liquid chromatography−tandem mass spectrometry (LC-MSMS) method for determination of Mimosine in Mimosa pudica Linn. Natural Science 2(7): 713-717.
  10. Rajendran, R., Hemalatha, S., Akasakalai, K., MadhuKrishna, C.H., Sohil, B.V. and Sundaram, M.R. (2009). Hepatoprotective activity of Mimosa pudica leaves against carbontetrachloride induced toxicity. Journal of Natural Products 2: 116-122.
  11.   Bhakuni OS, Dhar MI, Dhar MM, Dhawan BN, Mehrotra BN.  Screening of Indian plants for biological activity. Part II.  Indian J Exp Biol 1969;7:250-62.
  12. Ghani, A. (2003). “Medicinal plants of Bangladesh”. The Asiatic Society of Bangladesh., 2nd Ed, 302-303.
  13. Manosroi, J., Zaruwa, Z., Moses, Manosroi, W. and Manosroi, A. (2011). Hypoglycemic activity of Thai medicinal plants selected from the Thai/Lanna Medicinal Recipe Database MANOSROI II. Journal of Ethnopharmacology 138: 92–98.
  14. Chowdhury, S. A., Islam, J., Rahaman Mahfujur, M.d., Rahman Mostafizur, M.d., Rumzhum, N., Sultana, R. and Parvin, N. M. (2008). Cytotoxicity, antimicrobial and antioxidant studies of the different plant parts of Mimosa Pudica. Stamford Journal of Pharmaceutical Sciences 1(1&2): 80-84.
  15. Lakshmi S. N., Sasikumar N. M., Sunita S., Manisha M. B. and Ramesh T. S. (2007). Reversed-Phase HighPerformance Thin-Layer Chromatographic Quantification of Mimosine from Whole Plant of Mimosa pudica Linn. Journal of Planar Chromatography 20(1): 49–51.
  16. Amalraj, T. and Ignacimuthu, S. (2002). Hyperglycemic effect of leaves of Mimosapudica Linn. Fitoterapia 73: 351-352.
  17. Seetharam, Y.N., Gururaj C., Ramachandra, S.S. and Bheemachar. (2002). Hypoglycemic activity of Abutilon indicum leaf extracts in rats. Fitoterapia 73: 156-159.
  18. Sutar, N.G., Sutar, U.N. and Behera, B.C. (2009). Antidiabetic activity of Mimosa pudica Linn in Albino Rats. Journal of Herbal Medicine and Toxicology 3(1): 123-126.

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

สมุนไพรบำรุงไต

 

สมุนไพรบำรุงไตและล้างไตให้สะอาดเนื่องจากรับประทานยาแผนปัจจุบันมา35ปีตั้งแต่ปี2519

ผมป่วยเป็นโรคลมชักทานยาคุมกันชักมาตลอด

ตั้งแต่ทานยาคุมมาก็ไม่เคยเป็นเลยหมอบอกว่าทานยามากกลัวจะเป็นไตถ้าใช้ยางบำรุงไตจะช่วยได้หรือไม่ 

รากตำลึงและส่วนที่อยู่ใต้ดิน ดองเหล้า 0809898770


 .

คำตอบ : 

การล้างไตตามความหมายสรรพคุณยาไทยนั้น ไม่ได้มีความหมายเดียวกันกับการล้างไตในแพทย์แผนปัจจุบัน 

แต่จะมีความหมายไปในทางการขับปัสสาวะ หรือขับของเสียออกมากับปัสสาวะ 

ซึ่งพืชสมุนไพรที่มีรายงานว่ามีฤทธิ์ขับสารพิษออกจากร่างกายได้แก่ รางจืด โดยที่มีรายงานจะเป็นสารพิษตกค้างจากยาฆ่าแมลง แต่รางจืดไม่ได้มีคุณสมบัติในการช่วยขับปัสสาวะแต่อย่างใด โดยนำใบรางจืดขนาด 2-3 กรัม ชงน้ำร้อน 100-200 cc รับประทานวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร  

ส่วนสมุนไพรที่มีรายงานว่ามีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะได้แก่ กระเจี๊ยบแดง โดยดื่มน้ำดอกกระเจี๊ยบแดง ครั้งละ 6 กรัมต่อน้ำเปล่า 1แก้ว (250-350 มล.) วันละ 3-4 ครั้ง 

ส่วนสมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงไตคือ โสมเกาหลีค่ะ โดยมีรายงานวิจัยสนับสนุนว่า โสมมีฤทธิ์ปกป้องการถูกทำลายของไต เมื่อได้รับยาที่มีพิษต่อไต แต่เป็นการทดลองในสัตว์ทดลอง (หนู) ซึ่งยังไม่มีการศึกษาในคน 

และมีรายงานว่าการใช้โสมร่วมกับยา phenelzine ที่เป็นยากระตุ้นประสาท จะไปเพิ่มฤทธิ์กระตุ้นประสาทมากขึ้น 

และหากใช้ร่วมกับยาลดระดับน้ำตาลในเลือดก็จะไปเสริมฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด 

ดังนั้นหากจะรับประทานยาสมุนไพรควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาอยู่ ว่าสมุนไพรที่จะทานมีฤทธิ์เสริมยาแผนปัจจุบันหรือหักล้างฤทธิ์ของยาแผนปัจจุบันหรือไหม เพื่อความปลอดภัยในการใช้สมุนไพร 


หน่อกล้วยดำอินโด 850 บาท 0809898770




รางจืดล้างพิษได้จริงหรือไม่

 

รางจืดล้างพิษได้จริงหรือไม่แล้ว ถ้าได้ รับประทานอย่างไร


 .

สั่งซื้อหน่อกล้วย 0809898770

คำตอบ : 

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการล้างพิษของรางจืดนั้น พบว่าเกี่ยวข้องกับการลดพิษของยาฆ่าแมลง โดยเฉพาะพิษที่เกิดจากยาฆ่าแมลง “โฟลิดอล” และพิษจากสารที่ออกฤทธิ์เกี่ยวข้องกับการทำงานของ Cholinergic system 

ขนาดที่แนะนำให้รับประทานตามที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์แนะนำสำหรับการถูกพิษที่รุนแรง (สารเคมี) คือให้รับประทานใบเพสลาด (ใบที่ไม่อ่อนไม่แก่จนเกินไป) ครั้งละ 10-12 ใบ 

ตำคั้นกับน้ำซาวข้าวครึ่งถึงหนึ่งแก้ว ดื่มเฉพาะน้ำให้หมดทันทีที่มีอาการ 

หรือใช้ใบรางจืดแห้ง 300 กรัม/ต่อน้ำ 1 ลิตร ต้มดื่มครั้งละ 1 แก้ว (ดื่มขณะที่อุ่นจะให้ผลดีกว่า) โดยรับประทานทุก 1.5 – 2 ชั่วโมง 

และสำหรับแก้ร้อนใน ถอนพิษไข้ ถอนพิษสุรา บำรุงร่างกาย ให้ใช้ 4-5 ใบ หรือประมาณ 1.5-3 กรัม ชงน้ำดื่ม

 อย่างไรก็ตามยังไม่พบรายงานที่แน่ชัดว่ารางจืดจะสามารถล้างพิษสารเคมีอื่นๆ ได้อีกหรือไม่ จึงมีผู้แนะนำว่าไม่ควรรับประทานร่วมกันกับสมุนไพรหรือยาชนิดอื่น โดยเฉพาะยาหรือสมุนไพรที่ออกฤทธิ์เกี่ยวข้องกับ Cholinergic system

เนื่องจากรางจืดอาจขับตัวยาออกไปด้วย และส่งผลให้ยาหรือสมุนไพรที่รับประทานเข้าไปออกฤทธิ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควร 

ดังนั้นหากต้องการดื่มรางจืด โดยที่ต้องมีการใช้ยาหรือรับประทานอาหารเสริมต่างๆ เป็นประจำ แนะนำว่าควรดื่มรางจืดห่างจากการรับประทานยาตามปกติอย่างน้อย 2 ชั่วโมง 



วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

กระท่อมสามารถลดความดันโลหิตได้ไหมครับ

ยังไม่พบรายงานการวิจัยว่ากระท่อมมีผลลดความดันโลหิต 

พบเพียงฤทธิ์บรรเทาปวด ต้านการอักเสบ ลดอาการเมื่อยล้า ต้านอาการซึมเศร้า แก้ท้องเสีย 

และการใช้กระท่อมในขนาดสูงจะมีฤทธิ์กล่อมประสาทและทำให้เสพติด

ยาผสมเพชรสังฆาต ใช้บรรเทาอาการริดสีดวงทวารหนักระยะใดได้บ้าง

 คำตอบ : โรคริดสีดวงทวารแบ่งตามความรุนแรงของอาการเป็น 4 ระยะ ดังนี้

.

(สั่งซื้อเพชรสังฆาตได้ที่ 0809898770)

.

   ระยะที่ 1: มีเส้นเลือดดำโป่งพองในทวารหนัก จะมีเลือดไหลออกมาเวลาเบ่งถ่ายอุจจาระ

   ระยะที่ 2: หัวริดสีดวงทวารเริ่มโผล่พ้นทวารหนัก เวลาเบ่งอุจจาระจะออกมาให้เห็นและหดกลับได้เองหลังการขับถ่าย

   ระยะที่ 3: หัวริดสีดวงทวารจะโผล่ออกมาพ้นทวารหนัก เมื่อเกิดการเบ่ง หัวริดสีดวงจะออกมาข้างนอก และไม่สามารถหดกลับเข้าไปได้เอง ต้องใช้นิ้วช่วยดันกลับเข้าไป

   ระยะที่ 4: หัวริดสีดวงทวารจะโผล่ออกมาพ้นทวารหนักตลอดเวลา สามารถมองเห็นจากภายนอกได้ชัดเจน
   โดยรายงานการศึกษาทางคลินิกในผู้ป่วยริดสีดวงทวารหนักระยะ 1-2 และการศึกษาในผู้ป่วยริดสีดวงทวารหนักแบบเฉียบพลัน พบว่าการรับประทานเพชรสังฆาตแคปซูล ขนาด 100-180 มก./วัน ติดต่อกัน 7-14 วัน และการรับประทานยาผสมเพชรสังฆาตขนาด 3 ก./วัน ติดต่อกัน 7 วัน สามารถลดความรุนแรงของการมีเลือดออก ลดอาการหลอดเลือดขอดยื่นออกนอกทวารหนัก และลดอาการเจ็บปวด บวม อักเสบของทวารหนัก ไม่ต่างจากการใช้ยาแผนปัจจุบัน (daflon และ cyclo 3 fort) โดยไม่พบอาการข้างเคียงที่รุนแรง ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในการใช้ยาเพชรสังฆาต จากรายงานดังกล่าวจะเห็นได้ว่ายาเพชรสังฆาตสามารถบรรเทาอาการริดสีดวงทวารได้ในผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคในระยะที่ 1-2

   อย่างไรก็ตามการรักษาริดสีดวงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากริดสีดวงทวารมีอาการหลายระยะ และมีแนวทางการรักษาหลายวิธี เช่น การให้ยากิน ยาเหน็บทวาร หรือฉีดยาเข้าไปในตำแหน่งที่เลือดออก การยิงยางรัดโคน จี้ด้วยแสงอินฟาเรด และการผ่าตัด แนวทางการรักษาจึงขึ้นกับกับการดำเนินโรคของผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งโดยปกติหากผู้ป่วยมีอาการอยู่ในระดับ 1 และ 2 จะสามารถรักษาด้วยการใช้ยาหรือยาเหน็บทางทวาร แต่หากมีอาการอยู่ในระดับ 3 และระดับ 4 ส่วนใหญ่แพทย์จะแนะนำการรักษาด้วยการผ่าตัด

อ้างอิง :
1. Kanket S, Chaiyorach N, Lamsombuth S. Formulation and efficacy of Cissus uadrangularis extracts capsules for treatment of stage 1 and 2 acute internal hemorrhoids patients. PharmD thesis Mahasarakham university, Thailand. 2012.
2. Panpimanmas S, Sithipongsri S, Sukdanon C, Manmee C. Experimental comparative study of the efficacy and side effects of Cissus quadrangularis L. (Vitaceae) to Daflon (Servier) and placebo in the treatment of acute hemorrhoids. J Med Assoc Thai 2010; 93 (12): 1360-7
3. Lekutai S, Pirshahid PA. the effect of treatment of hemorrhoids patients from Cissus quadrangularis Linn Extracts. J Health Sci 2011;20:848-856.