เมล็ดพันธ์กระเจี๊ยบพันธ์ซูดาน ดอกใหญ่ น้ำหนักดี
.............................
.............................
การเก็บเกี่ยว
............
..........................
ดอกกระเจี๊ยบแดงเป็นสมุนไพรที่แนะนำให้ใช้เพื่อบรรเทาอาการขัดเบาและรักษาโรคนิ่ว
โดยใช้ดอกกระเจี๊ยบแดงที่ตากแห้งและบดเป็นผงครั้งละ 1 ช้อนชา ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย ทิ้งไว้ 5-10 นาที รินเฉพาะน้ำสีม่วงแดงใส ดื่มวันละ 3ครั้งติดต่อกันทุกวันจนกว่าจะหาย
ดอกกระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตต้านอาการอักเสบช่วยละลายไขมันในเลือด เป็นยากัดเสมหะขับเมือกมันในลำไส้
ข้อควรระวังในการใช้ : เนื่องจากกระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆอาจทำให้ผู้ที่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงเกิดอาการท้องเสียได้เล็กน้อย
...
ขอบคุณข้อมูลดีในโลก ออนไลน์ ที่ทำไห้เกษตรกรได้เรียนรู้อาชีพ
- ราคากิโลกรัมละ 350 บาท
- สำหรับการปลูกกระเจี๊ยบในระบบเกษตรแปลงใหญ่
- กระเจี๊ยบแดง พันธุ์ที่นิยมปลูกคือ พันธุ์ซูดานหรือพันธุ์เกษตร
- กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชไวต่อแสง
- เป็นพืชวันสั้นขึ้นได้ในดินทุกชนิด
- ปลูกได้ทั่วไปชอบอากาศร้อนหรือค่อนข้างร้อน
- อุณหภูมิที่เหมาะสมประมาณ18-25องศาเซลเซียส
- กระเจี๊ยบแดงต้องการน้ำในช่วง 1เดือนแรกไม่ควรเป็นที่น้ำขัง น้ำท่วม
- เป็นพืชที่มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ5เดือน
- การปลูกกระเจี๊ยบแดงควรปลูกในช่วง ปลายกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคม
- ออกดอกในระหว่างเดือนตุลาคม – พฤศจิกายนแล้วเก็บผลที่แก่จัดไปได้จนถึงกลาเดือนธันวาคม
ภาพจากที่สวนเลย
- เตรียมดินก็เหมือนกับพืชไร่ทั่วไป ไถพรวน ใส่ปุ๋ยคอก ปรับพีเอชดิน
- ปลูกโดย หยอดเมล็ดในหลุมหรือเปิดร่องเล็กๆแล้วหยอดเมล็ดหลุมละ4-5เมล็ด(เหมือนปลูกข้าวโพด)
- ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 50-70-80 เซนติเมตร
- ระยะระหว่างแถวห่าง 120-150 เซนติเมตรแล้วกลบดินเล็กน้อย
- หลังจากกระเจี๊ยบแดงงอกแล้ว ประมาณ3-4สัปดาห์ให้เลือกถอนต้นอ่อนที่ไม่แข็งแรงออกให้เหลือไว้หลุมละ2-3 ต้นเพื่อไม่ให้แน่นมาก
- ถ้าไม่จำเป็น อย่าใช้วิธีหว่าน เพราะจะบริหารจัดการ ยากมาก ในเรื่องการดูแล
- กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชที่ปลูกง่าย เพียงให้น้ำสม่ำเสมอในช่วง 1-2 เดือนแรก และให้น้ำบ้างเมื่อฝนทิ้งช่วงประมาณสัปดาห์ละ 1ครั้ง
- กำจัดวัชพืชประมาณ 2-3 ครั้ง พร้อมการถอนแยก
- ต้นกระเจี๊ยบแดงมีอายุ 1เดือนและ 2เดือนควรใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15อัตรา 50กิโลกรัมต่อไร่ โดยแบ่งใส่ 2ครั้งหลังกำจัดวัชพืชเมื่อดินมีความชื้น
.............................
- โรคที่สำคัญ โรคใบจุด โรคฝักจุดหรือฝักลายโรคแอนแทรคโนส
- การป้องกันกำจัดให้ใช้บาซิลลัสพ่นในอัตรา 30-50กรัมต่อน้ำ 20ลิตร
- แมลงศัตรูที่สำคัญ หนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้ายเพลี้ยไฟเพลี้ยอ่อนเพลี้ยจักจั่นฝ้าย
- การป้องกันกำจัดใช้เชื้อBT ในอัตรา60-80กรัมต่อน้ำ 20ลิตรหรือใช้สารธรรมชาติเช่นเมล็ดสะเดาพ่นในอัตรา 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- อาจปล่อยแมลงศัตรูธรรมชาติของแมลงศัตรูพืช เช่นแมลงช้างปีกใส ด้วงเต่าตัวห้ำเป็นต้น
.............................
การเก็บเกี่ยว
- ระยะที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวคือเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมการเก็บเกี่ยวกระเจี๊ยบแดงทำได้
- 2 วิธี เก็บเกี่ยวเฉพาะดอกกระเจี๊ยบแดงที่แก่ ใช้กรรไกร-มีดตัดเฉพาะดอกที่แก่ ขนย้ายออกจากแปลง
- เก็บเกี่ยวทั้งต้นโดยใช้เคียวเกี่ยวกิ่งที่มีดอกบริเวณโคนกิ่งและนำมาปลิดผลทีหลัง วิธีนี้จะเก็บเกี่ยวได้รวดเร็ว ระวังดอกอาจหลุดร่วงระหว่างขนย้าย
............
- นำดอกกระเจี๊ยบแดงที่ได้ไปแทงเมล็ดออก โดยใช้แทงโลหะกลวงปลายหยัก แทงบริเวณขั้วดอกให้ฝักหุ้มเมล็ดหลุดจากกลีบเลี้ยง
- ควรทำให้เสร็จภายใน 48 ชั่วโมงหลังเก็บเกี่ยว
- นำไปตากแดด4-7 วันจนแห้งสนิทจากนั้นจึงบรรจุในกระสอบป่าน แล้วเอาไปขาย
- ไม่ควรเก็บไว้นานกว่า 2เดือนเนื่องจากน้ำหนักอาจลดลงหรือเกิดเชื้อราได้
..........................
ดอกกระเจี๊ยบแดงเป็นสมุนไพรที่แนะนำให้ใช้เพื่อบรรเทาอาการขัดเบาและรักษาโรคนิ่ว
โดยใช้ดอกกระเจี๊ยบแดงที่ตากแห้งและบดเป็นผงครั้งละ 1 ช้อนชา ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย ทิ้งไว้ 5-10 นาที รินเฉพาะน้ำสีม่วงแดงใส ดื่มวันละ 3ครั้งติดต่อกันทุกวันจนกว่าจะหาย
ดอกกระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตต้านอาการอักเสบช่วยละลายไขมันในเลือด เป็นยากัดเสมหะขับเมือกมันในลำไส้
ข้อควรระวังในการใช้ : เนื่องจากกระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆอาจทำให้ผู้ที่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงเกิดอาการท้องเสียได้เล็กน้อย
...
ขอบคุณข้อมูลดีในโลก ออนไลน์ ที่ทำไห้เกษตรกรได้เรียนรู้อาชีพ
...............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น