หน้าเว็บ

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม


วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2562

ผงกล้วยดิบ Banana Powder จะทนปวดไปทำไมเมื่อมันรักษาได้ในพริบตา



 📌จะทนปวดไปทำไมเมื่อมันรักษาได้ในพริบตา
ผงกล้วยดิบ Banana Powder
#สรรพคุณจากงานวิจัย
📌ผงกล้วยดิบจะช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ โดยกระตุ้นการหลั่งเมือก เพิ่มความหนาและความแข็งแรงของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ลดความเป็นกรดของกระเพาะอาหาร ร่วมกับการออกฤทธิ์สมานแผลบริเวณกระเพาะอาหาร

ราคา ผงกล้วยน้ำว้าดิบ 1กิโลกรัม 300 บาท ส่งฟรี
📦0809898770 โทร+ไลน์0809898770โทร+ไลน์
📌ราคารวมค่าส่งแบบโอนเงินก่อนครับ เก็บปลายทางเพิ่ม 50 บาท

📌การรับประทานกล้วยดิบเพื่อรักษาโรคกระเพาะ
ในการใช้แบบพื้นบ้าน จะนำผงกล้วยดิบ 1-2 ช้อนโต๊ะชงน้ำร้อนดื่ม หรือผสมกับน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน รับประทานก่อนอาหารและก่อนนอน
📌เราใช้กล้วยน้ำว้าแท้ 100%โดนไม่ปนกล้วยหักมุก เพราะเราผลิตยาไม่ใช่อาหาร
📌ปลูกบนแผ่นดินที่ปลอดสารเคมีมาเกือบ10ปี จึงไม่มีสารพิษ จากยาฆ่าหญ่า ยาฆ่าแมลง ที่รากจะดูดซึมเอาไปไว้ที่ผลกล้วย
📌ผงกล้วยที่ท่านซื้อไป จึงปลอดสารพิษ อย่างแท้จริง ชนิดที่สามารถมาดูด้วยตาตัวเองได้ทุกเวลา
จึงมั่นใจว่าท่านไม่ได้กินผงกล้วยที่ปนยาฆ่าหญ้าเขาไป อย่างแน่นอน เพราะไม่มีการรับซื้อกล้วยจากภายนอกเข้ามาทำ นี่คือความตั้งใจสูงสูดของเรา







วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2562

สองพลังเพื่อบรรเทาโรคมะเร็ง

สองพลังเพื่อบรรเทาโรคมะเร็ง

1.ชิงเฮา ฆ่าเซลล์มะเร็งใน 16 ชม

2.เห็ดพิมานที่ต่างประเทศจดสิทธิ์บัตรจนหมด(รักษามะเร็ง ตับ ไต ตัวจริง)

#เราจับมารวมกันบรรจุใส่ซองสำหรับสังคมเมือง

#สุขภาพดีทุกทีสะดวกทุกเาลา

#พร้อมคำยืนยันจากคนที่ดื่มจริง

ราคา 1ห่อบรรจุ 100ซอง 490 บาท(โปรนี้ 1 เดือน)

(ปกติ 50ซอง)

โทรหรือไลน์หาเรา0809898770



วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2562

ลูกใต้ใบ สมุนไพรบำรุงตับ


สมุนไพรลูกใต้ใบ สมุนไพรบำรุงตับ 

น้ำหนักสุทธิ 50 กรัม  ราคา 150 บาท ค่าจัดส่ง 60 บาท
ปล.สั่งซื้อ 4 ห่อ บริการจัดส่งฟรี 0809898770 โทร+ไลน์

วิธีรับประทาน
ลูกใต้ใบ แห้ 1กรัม ต้มกับน้ำสะอาด1ลิตร ต้มน้ำให้น้ำเดือด ใส่สมุนไพรลงไปหรี่ไฟเบาๆต้ม ต่ออีก20นาที ดื่มอุ่นๆเช้า-เย็น

จิบแทนน้ำชาทั่วไป หากต้องการทานเพื่อบำรุงตับอาจปรับปริมาณการทานเพิ่มขึ้นได้
 คำแนะนำ ควรต้มดื่มจะได้ผลดีกว่าแบแคปซูล

สรรพคุณลูกใต้ใบ

  • รากและใบของลูกใต้ใบ ใช้เป็นยาชงกินกับน้ำเป็นยาบำรุงร่างกาย
  • ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย (ราก,น้ำต้มใบ)
  • ในเขมรใช้ลูกใต้ใบ เป็นยาเจริญอาหาร ไม่ระบุส่วนที่ใช้
  • ผลใช้ต้มดื่มช่วยบำรุงสายตา ทำให้สายตาดี ช่วยรักษาโรคตา (ใบ)


ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยควบคุมและลดระดับน้ำตาลในเลือดได้จึงมีประโยชน์ต่อผู้เป็นโรคเบาหวาน แต่มีข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยเบาหวานว่าต้องรับประทานยาแผนปัจจุบันตามที่แพทย์สั่งและควรหมั่นตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ (ต้น)โดยให้ใช้ทั้งต้นของลูกใต้ใบชนิด จำนวน 1 กำมือ นำมาต้มดื่ม (ทั้งต้น)

ช่วยลดความดันโลหิต (ทั้งต้น)
ลูกใต้ใบ สรรพคุณใช้เป็นยาแก้ไข้ ลดความร้อน ช่วยลดไข้ทุกชนิด (ไข้หวัด ไข้จับสั่น ไข้ทับระดู ไข้หวัดใหญ่ ไข้จากการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ไข้จากการอ่อนเพลีย) ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว แล้วเคี่ยวจนเหลือ 1 ½ ถ้วยแก้ว ใช้ดื่มครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว หรือใช้ลูกใต้ใบตากแห้งเก็บใส่โหลไว้ชงเป็นชาดื่มก็ได้เช่นกัน (ต้น,ทั้งต้น,ผล,ราก,น้ำต้มใบ)

  • ช่วยรักษามาลาเรีย (น้ำต้มใบ)
  • ช่วยแก้อาการไอ (ทั้งต้น) ใบอ่อนใช้เป็นยาแก้ไอสำหรับเด็ก (ใบอ่อนของลูกใต้ใบ)
  • ช่วยแก้หืด ด้วยการใช้ทั้งต้นของลูกใต้ใบ นำมาล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสมกับน้ำอุ่น แล้วคั้นเอาแต่น้ำมาดื่มก่อนอาหารครั้งละ 2-3 อึก วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 3 วัน (ทั้งต้น)
  • ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ด้วยการใช้ทั้งต้นนำมาต้มกิน (ทั้งต้น , ผล)
  • ช่วยขับเหงื่อ โดยใช้หญ้าใต้ใบ นำต้มกิน และยังช่วยลดไข้ได้ด้วย
  • ช่วยขับเสมหะ (ทั้งต้น)
  • ช่วยแก้พิษตานซาง (ผล)
  • สรรพคุณต้นลูกใต้ใบ ช่วยแก้โรคดีซ่าน (ต้น, ต้น ,ใบ) ให้ใช้ทั้งต้นของลูกใต้ใบ นำมาต้ม 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน แล้วเอามากินครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง กินติดต่อกันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ อีกทั้งยังช่วยกำจัดสารพิษออกจากตับ และช่วยทำให้สายตาดีได้อีกด้วย (ทั้งต้น)
  • ใช้รากของลูกใต้ใบ นำมาต้มหรือชงกับน้ำกิน มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกระเพาะอาหาร ช่วยแก้อาการกระเพาะอาหารพิการ และช่วยรักษาลำไส้อักเสบ (ราก)
  • ·ช่วยแก้อาการท้องเสีย (ต้น, ทั้งต้น, ราก)
  • น้ำต้มใบใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง ท้องมาน แก้บิด ท้องร่วง (ใบ) ทั้งต้นของลูกใต้ใบมีสรรพคุณช่วยแก้อาการปวดท้อง ท้องเสีย และแก้บิด สำหรับวิธีการใช้เป็นยาแก้บิด ให้ใช้ทั้งต้นของลูกใต้ใบ) นำมาต้มกินหรือแทรกปูนแดงขนาดเท่าเม็ดถั่วดำ นำมาต้มรวมกันใช้กินแก้บิด (ทั้งต้น)
  • ต้นใช้ต้มเป็นยาระบาย (ต้น)
  • ช่วยแก้เถาดานในท้อง (ลักษณะเป็นก้อนแข็งในท้อง บางครั้งมีลักษณะเป็นแผ่นแข็ง ซึ่งอาจส่งผลทำให้มีอาการปวดหลังตามมาได้) ด้วยการใช้ทั้งต้นของลูกใต้ใบ มาตากให้แห้งประมาณ 1 ลิตร แช่ในเหล้า 1 ลิตร แล้วหมกข้าวเปลือกไว้ 7 วัน แล้วเอามานึ่ง ให้คาดคะเนว่าธูปหมด 1 ดอก ให้กินเช้าและเย็น (ทั้งต้น)
  • ต้นใช้ต้มร่วมกับสมุนไพรอื่น (พันงูเขียว) ใช้เป็นยาป้องกันพยาธิลำไส้ในเด็ก (ต้น)
  • ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด แก้ขัดเบา ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว แล้วเคี่ยวจนเหลือ 1 ½ ถ้วยแก้ว ใช้ดื่มครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว (ต้น, ทั้งต้น, ราก,ใบ)
  • ใช้รักษาอาการมีไข่ขาวในปัสสาวะ อาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ช่วยลดอาการบวม จึงช่วยผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์ในการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
  • ช่วยแก้นิ่ว (ต้น,ราก) ขับนิ่วในไต (น้ำต้มใบ) รักษานิ่วในถุงน้ำดีและนิ่วในไต (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)หรือใช้ทั้งต้นของต้นลูกใต้ใบ จำนวน 1 กำมือ ตำให้แหลกคั้นเอาแต่น้ำ และให้เอาสารส้มขนาดปลายนิ้วก้อยละลายลงไป แล้วดื่มก่อนอาหารให้หมดครั้งละครึ่งถ้วยชา วันละ 3 เวลา โดยให้ดื่มติดต่อกัน 3 วัน จากนั้นให้ใช้ทั้งต้นจำนวน 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำตาลทรายแดงให้พอหวาน ใช้ดื่มต่างน้ำติดต่อกันอีก 3 วัน เมื่อขึ้นวันที่ 7 ก็ให้ดื่มน้ำอ้อยสด วันละ 1 ขวดต่อไปอีก 3 วัน เพื่อช่วยล้างนิ่วเป็นขั้นตอนสุดท้าย (ทั้งต้น)
  • ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร ช่วยขับระดูขาวของสตรี (ต้น, ทั้งต้น) 
  • ช่วยขับประจำเดือนของสตรี แก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ ด้วยการใช้ต้นนำมาต้มกิน (ต้น) 
  • ช่วยแก้ระดูไหลไม่หยุดหรือมามากกว่าปกติของสตรี ด้วยการใช้รากสดนำมาตำผสมกับน้ำซาวข้าวกินจะช่วยทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ (ราก)
  • ช่วยรักษาไข้ทับระดู ด้วยการใช้ทั้งต้นนำมาล้างน้ำให้สะอาด ใช้ตำผสมกับเหล้าขาว คั้นเอาแต่น้ำยามาดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชา (ทั้งต้น)
  • ช่วยรักษากามโรค (ทั้งต้น) ช่วยแก้เริม ด้วยการใช้ทั้งต้นนำมาตำผสมกับเหล้าคั้นเอาแต่น้ำยา แล้วใช้สำลีชุบน้ำยามาแปะตรงที่เป็นเริม เพื่อทำให้รู้สึกเย็น และอาการปวดจะหายไป (ทั้งต้น)
  • ช่วยแก้น้ำดีพิการ (ทั้งต้น)
  • ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย (น้ำต้มใบ)


สรรพคุณของลูกใต้ใบ ใช้ต้มดื่มติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์จะช่วยกำจัดพิษออกจากตับ ป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายจากสารพิษต่าง ๆ และช่วยบำรุงตับ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีได้เป็นอย่างดี รักษาอาการอักเสบของตับทั้งประเภทเฉียบพลันและเรื้อรัง และยังช่วยปรับไขมันในตับให้เป็นปกติ จึงช่วยในการทำงานไต (ผล)
นอกจากจะใช้เป็นยารักษาดีซ่านแล้ว ยังช่วยแก้ตับอักเสบ ตัวเหลือง ตาเหลืองได้ด้วย (ต้น)
ช่วยแก้อาการคัน ด้วยการใช้ใบนำมาตำผสมกับเกลือ แล้วนำมาทาจะช่วยแก้อาการคันได้ (ใบ)
ใช้เป็นยาฝาดสมาน (ต้น) ช่วยรักษาบาดแผล (ใบ)
หากเป็นแผลสด แผลฟกช้ำ ให้ใช้ลูกใต้ใบนำมาตำแล้วพอก แต่ถ้าเป็นแผลเรื้อรังให้ใช้ใบนำมาต้มผสมกับซาวข้าวแล้วนำมาพอก (ผล, ใบ)
ช่วยแก้อาการฟกช้ำบวม ด้วยการใช้ต้นสดนำมาตำผสมกับเหล้า แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็น ในบางตำราระบุว่าให้ใช้คลุกกับข้าวสุกเสียก่อน แล้วค่อยพอก (ต้น, ทั้งต้น) ส่วนในอินเดียจะใช้ใบและรากแห้งนำมาบดเป็นผงผสมกับน้ำซาวข้าวแล้วนำมาพอก (ใบ, ราก)
ช่วยแก้บวม (ต้น, ทั้งต้น, ราก)
ช่วยแก้หิด (ใบ)
ช่วยแก้ฝี แก้อาการปวดฝี ด้วยการใช้ต้นสดนำมาตำผสมกับเหล้า แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็น (ต้น, ทั้งต้น)
ช่วยแก้อาการปวด ปวดบวมตามร่างกาย (ต้น)
ช่วยแก้อาการปวดหลัง ปวดเอว อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ด้วยการใช้ลูกใต้ใบที่ล้างสะอาดแล้ว นำมาสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปต้มในหม้อดิน และนำมาใช้ดื่มแทนน้ำชา (ผล)
ใช้รักษาอาการปวดกระดูกและปวดข้อ (ยอดอ่อน, ต้น)
มีรายงานวิจัยระบุว่านอกจากสมุนไพรลูกใต้ใบจะมีฤทธิ์ในการแก้ไข้แล้ว ยังมีฤทธิ์แก้อาการอักเสบได้อีกด้วย (ต้น)
ช่วยแก้อาการนมหลง สำหรับหญิงคลอดบุตรแล้วน้ำนมเกิดหยุดไหล หลังจากเคยไหลมาแล้ว และมีอาการปวดเต้า ถ้าหากปล่อยไว้อาจจะกลายเป็นฝีที่นมได้ ให้ใช้ทั้งต้นประมาณ 1 กำมือนำมาตำผสมกับเหล้าขาว แล้วคั้นเอาแต่น้ำมาดื่ม 1 ถ้วยชา และใช้กากที่เหลือนำมาพอก ก็จะช่วยทำให้น้ำนมไหลออกมาได้ (ทั้งต้น)
ลูกใต้ใบ, medthai.com 

ข้อควรระวัง
ห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้ในหญิงตั้งครรภ์ เพราะมีฤทธิ์เป็นยาขับประจำเดือน


*หมายเหตุ* การทานชาลูกใต้ใบในระยะเริ่มแรก ผู้ทานบางรายอาจมีอาการง่วงนอนหรืออ่อนเพลีย เนื่องจากร่างกายยังไม่เคยชินและร่างกายกำลังปรับสภาพ กับสารอาหารในชาลูกใต้ใบ หรืออาจมีอาการถ่ายท้องในช่วงที่รับประทานครั้งแรก

ควรพักผ่อนให้เพียงพอในระยะที่ร่างกายปรับสภาพ อาการง่วงนอนและอาการอ่อนเพลียจะค่อยๆ หายไปเมื่อกินไประยะหนึ่งหรือประมาณ 7-15 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนเป็นหลัก


ม้ากระทืบโรง เหมาะสำหรับสตรี ที่มีอาการซูบซีด ผอมแห้งแรงน้อย ฿400



ม้ากระทืบโรง เหมาะสำหรับสตรี ที่มีอาการซูบซีด ผอมแห้งแรงน้อย
฿400
เทศบาลเมืองกำแพงเพชร (จังหวัดกำแพงเพชร)
ราคา 250 บาท ที่ครึ่งกิโล
ราคา 400 บาท ที่ 1 กิโล
ค่าส่ง 100 บาท เคอรี่ โอนเงินก่อน
เก็บปลายทางเพิ่ม 40 บาท
แอดไลน์ 0918712395 โทร 0809898770

 วิธีต้ม นำสมุนไพรม้ากระทืบโรง ล้างน้ำให้สะอาด แล้วต้มน้ำโดยใช้สูตรสมุนไพรแห้ง หนัก 100 กรัม ต่อน้ำ 3 ลิตร ต้มจนเดือดแล้วหรี่ไฟลง ต้มต่อไปจนน้ำงวดเหลือ 1 ลิตร จะได้น้ำสมุนไพรสีน้ำตาลอมดำเข้ม มีรสขม ดื่มขณะอุ่นๆ 1 เป๊ก หรือ 30 ซีซี ก่อนอาหาร 2 เวลาเช้า-เย็น
           มักเข้าใจผิดกันว่าสมุนไพรม้ากระทืบโรงเหมาะสำหรับบุรุษผู้ต้องการพลังทางเพศ  และกำลังทางร่างกาย แต่อันที่จริงสมุนไพรตัวนี้เหมาะสำหรับสตรี ที่มีอาการซูบซีด ผอมแห้งแรงน้อย  เพราะช่วยบำรุงเลือด ช่วยขับเลือดตกค้างจากประจำเดือนไม่ปกติ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้ลิ้นรู้รสชาติอาหาร กินข้าวได้ นอนหลับสบาย ขับถ่ายดี หมอโบราณจึงใช้ม้ากระทืบโรง และสมุนไพรกลุ่มนี้เป็นยาบำรุงธาตุ และยาอายุวัฒนะ ที่ช่วยให้สุขภาพดี มีอายุยืน






ตำรับช้างเฒ่า ลูกดก

 ตำรับช้างเฒ่า ลูกดก
 สูตรช้างเฒ่า ลูกดก บำรุงกำลัง บำรุงกำหนัด  บำรุงธาตุเหมาะสำหรับผู้อยากมีลูก

ให้ใช้เปลือกตะโกนา   เปลือกมะพลับ เปลือกทั้งถ่อน ชะเอมไทย ทุกอย่างหนัก ๖๐  กรัม  บอระเพ็ด เมล็ดข่อย (เป็นยาอายุวัฒนะขนานเอก) สองอย่างนี้หนัก  ๑๕  กรัม และกระชายดำ ให้ใช้ส่วนหัวและเก็บหน้าแล้งจึงจะมีสรรพคุณทางยาดี ใช้ ๑๐๐  กรัม ส่วนผสมควรหั่นเป็นชิ้นๆ

    จากนั้นทำการห่อผ้าบางใส่ขวดโหลเหล้าโรงเหล้าขาวให้ท่วมตัวยา และดองทิ้งไว้ประมาณ ๑๕-๒๐ วัน กินก่อนนอน ครั้งละ  ๑  ช้อนโต๊ะ (  ๑  เป็ก ) ผสมน้ำผึ้ง ก็ยิ่งดี 
    

สำหรับท่านชายโดยเฉพาะจะทำให้คึกคักเหมือนวัวกระทิง

 สำหรับท่านชายโดยเฉพาะเกี่ยวกับภาวเพศโดยเฉพาะ กำลังวังชาที่หมดไปจะกลับมา

ใช้เปลือกตะโกนา เยื่อมะตูมอ่อน ทิ้งถ่อน  พริกไทย แห้วหมู บอระเพ็ด ทุกอย่างหนัก ๑  บาทยา และโสมหนัก  ๑  สลึง นำมาบดให้ละเอียด ผสมน้ำผึ้งรวงแท้ ทำเป็นลูกกลอนเท่าปลายนิ้วก้อย  กินเช้า  ๑  เม็ด ก่อนนอน  ๑  เม็ด จะทำให้คึกคักเหมือนวัวกระทิง ฉุดเท่าไหร่ก็ไม่อยู่  ตัวใครตัวมันฮ่าๆๆๆ

ยาสมุนไพร”เพชรน้ำเอก”ของอาจารย์ พฤฒาจารย์วิพุธโยคะ รัตนรังษี

 ตำรับยาอายุวัฒนะชั้นดีกรุยอดตำรับยาสมุนไพร”เพชรน้ำเอก”ของอาจารย์ พฤฒาจารย์วิพุธโยคะ รัตนรังษี ได้บันทึกไว้ดังนี้
         ใช้เปลือกต้นตะโกนา บอระเพ็ด หัวแห้วหมู เมล็ดข่อย เหง้ากระชาย รากกระชาย เมล็ดพริกไทย ทุกอย่างเสมอภาค ๑๐  บาทยา ( ๑ บาทยาเท่ากับ ๑๕  กรัม ) หาซื้อได้ที่ร้านขายยา ให้ร้านบดมาให้เลย เสร็จแล้วนำมาอบด้วยความร้อน ๘๐ องศาเพื่อฆ่าเชื้อหรือมลภาวะที่ติดมากับยา ผสมน้ำผึ้งรวง ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดพุทรา กินวันละครั้งก่อนนอน วันแรก ๑ เม็ด วันที่สอง ๒ เม็ด ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆจนถึง ๕ เม็ด
แต่ถ้ากิน ๕ เม็ดแล้วรู้สึกร้อนในตัวก็ให้ลดลงเหลือ  ๓  เม็ดต่อวัน กินยาตำรับนี้ร่างกายจะแข็งแรง มีอายุยืนเพราะรักษาได้หลายโรคไปในตัว และแก้ปวดแก้เมื่อยได้ด้วย

ใบบัวบกแห้ง-บด-แคปซูล

ใบบัวบกแห้ง
ใบบัวบกบด
ใบบัวบกแคปซูล
สินค้ารวมส่งแล้วโอนเงินก่อนเก็บปลายทาง เพิ่ม 60 บาท

0809898770 โทร+ไลน์

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2562

ครีมตรีผลา จากงานวิจัย สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสมุนไพรครีมบำรุงผิว ทำให้ผิวกระจ่างใส

 ผลงานวิจัยเพื่อสังคม

ครีมตรีผลา จากงานวิจัย สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสมุนไพรครีมบำรุงผิว ทำให้ผิวกระจ่างใส

นพมาศ สุนทรเจริญนนท์

ที่มา

ปัจจุบันคนไทยมักเกิดฝ้า กระ หรือริ้วรอยหมองคล้ำ อันเนื่องมาจากรังสีอุลตร้าไวโอเลตเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาวจากสารธรรมชาติได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสารทำให้ผิวขาวหลายชนิดจะมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสและ/หรือฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จึงส่งผลให้การสร้างเมลานินในผิวหนังลดลงและทำให้ผิวพรรณกระจ่างใสขึ้นกว่าเดิม  สารสกัดจากธรรมชาติที่ทำให้ผิวกระจ่างใส ได้แก่ สารสกัดเปลือกสน สารสกัดเมล็ดองุ่น สารสกัดเมล็ดลำไย สารสกัดเมล็ดลิ้นจี่ สารสกัดรังไหม สารสกัดใบหม่อน สารสกัดแก่นมะหาด สารสกัดผลมะขามป้อม และสารสกัดรากชะเอมเทศ เป็นต้น สารสกัดจากธรรมชาติเหล่านี้มีศักยภาพสูงในการนำไปเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทำให้หน้าขาว

ผิวหนังมีสีคล้ำขึ้นได้อย่างไร

ผิวหนังที่ปกคลุมร่างกายมีเม็ดสี ที่เรียกว่า “เมลานิน” ทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังจากการถูกทำลายด้วยแสงแดด และเป็นสารสำคัญที่ทำให้เกิดสีที่ผิวหนัง  สีผิวของคนเราจะแตกต่างกันแล้วแต่เชื้อชาติและกรรมพันธุ์ โดยอาศัยกระบวนการในการสร้างเม็ดสีในร่างกาย เรียกว่า melanogenesis  เมลานินถูกสร้างในออกาแนลสีน้ำตาลที่มีชื่อว่า melanosome ที่อยู่ใน cytoplasm ของเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) และมีเอนไซม์ที่มีทองแดงเป็นส่วนประกอบอยู่ในโมเลกุล ชื่อ tyrosinase  เป็นตัวสำคัญในการควบคุมการสร้างเมลานินโดยเป็นเอนไซม์ออกซิเดส ที่จะช่วยเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชันของ tyrosine เป็น dopa และ dopa เป็น dopaquinone ด้วยปฏิกิริยา oxidation และ dehydrogenation ตามลำดับ ตามด้วยการเปลี่ยน dopaquinone ผ่าน intermediate อีกหลายตัวแล้วเกิด polymerization ให้สารที่ไม่ละลายที่สามารถจับกับโมเลกุลของโปรตีนได้อย่างแน่นหนาโดย sulhydryl bond เกิดเป็น melanoprotein melanin polymer ทำให้สีผิวเข้มขึ้น1

สารที่ใช้เป็น Whitening agent (Lightening agent)

สารจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์ทำให้ผิวขาว (Whitening agent) สามารถแบ่งได้ตามกลไกทางชีวเคมี ดังนี้
  1. กดความสามารถของเอนไซม์ไทโรซิเนส ได้แก่ สารกลุ่ม lactic acid และ lactates ซึ่งเป็นกรดชนิดหนึ่งในกลุ่มกรด AHA (Alpha-hydroxy acid) ที่ทำมาจากนม สาร isoimperatorin และ imperatorin เป็นสารที่สกัดจาก โกฐสอ (Angelica dahurica)
  2. ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ได้แก่ สาร ?-Arbutin สกัดจาก bearberry (Arctostaphylos uva ursi) เป็น hydroquinone glycoside ชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์ดีกว่า kojic acid และ วิตามินซี (ascorbic acid) สาร kojic acid เป็นผลผลิตจาก fungal metabolite สารสกัดจากรากของ Paper mulberry (Broussonetia kazinoki B. papyrifera, วงศ์ Moraceae) สาร ellagic acid เป็นสารที่ได้มาจากทับทิม และเมล็ดลำไย และสาร curcurmin และอนุพันธ์กึ่งสังเคราะห์ คือ tetrahydrocurcurmin เป็นสารสกัดจากขมิ้นชัน (Curcuma longa L.) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์เอนไซม์ไทโรซิเนสและมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย2-11


สารต้านอนุมูลอิสระ

อนุมูลอิสระ คือ อะตอมหรือโมเลกุลที่มีอิเล็คตรอนไม่เป็นคู่ อยู่ในวงอิเล็คตรอนวงนอกสุด (outer orbital) เนื่องจากการมีอิเล็กตรอนที่โดดเดี่ยว (unpaired electron) อยู่ในวงโคจรของโมเลกุลทำให้ไม่เสถียร ทำให้อนุมูลอิสระเป็นสารที่มีความไวในการเข้าทำปฏิกิริยาทางเคมีกับสารอื่นสูงมาก โดยอนุมูลอิสระจะไปแย่งจับหรือดึงเอาอิเล็กตรอนจากโมเลกุลหรืออะตอมสารที่อยู่ข้างเคียงเพื่อให้ตัวมันเสถียร โมเลกุลที่อยู่ข้างเคียงที่สูญเสียหรือรับอิเล็กตรอนจะกลายเป็นอนุมูลอิสระชนิดใหม่ ซึ่งอนุมูลอิสระที่เกิดมาใหม่นี้จะไปทำปฏิกิริยากับสารโมเลกุลอื่นต่อไป เกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ (chain reaction) ต่อกันไปเรื่อยๆ โดยที่อนุมูลอิสระก็มีสมบัติเหมือนสารทั่วๆไป ตรงที่ความสามารถในการเข้าทำปฏิกิริยากับสารอื่นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามอุณหภูมิ ความเป็นกรดด่าง (pH) และความชื้น เป็นต้น  เชื่อกันว่าอนุมูลอิสระ มีผลต่อการอักเสบ และการทำลายเนื้อเยื่อในระยะสั้น ระยะยาว อาจมีผลต่อความเสื่อมหรือการแก่ของเซลล์ และอาจเป็นสารก่อมะเร็ง และโรคหัวใจ ต้อกระจก  สารต้านอนุมูลอิสระพบได้มากในผักและผลไม้บางชนิด จึงมีการสนับสนุนให้ทานสิ่งเหล่านี้เพิ่มมากชึ้น โดยมีความเชื่อว่าอาจลดภาวะโรคต่างๆดังกล่าว และลดความแก่ ความเสื่อมของเซลล์ ในมิติของเครื่องสำอาง เชื่อว่าเครื่องสำอางที่ประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ จะมีส่วนช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวเต่งตึง ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร12

ครีมตรีผลา

สมุนไพรตรีผลา ประกอบด้วยสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ สมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม เป็นสมุนไพรกลุ่มใหม่ที่สามารถจะนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณ และทำให้ผิวกระจ่างใสได้ ทั้งนี้เนื่องจากสมุนไพรทั้งสามชนิดนี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดี ซึ่งจากผลงานวิจัยของ นพมาศ สุนทรเจริญนนท์และคณะ (2547) พบว่าสารสกัดน้ำของสมุนไพรตรีผลามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (ในหลอดทดลอง) ได้ดีกว่าสารมาตรฐาน BHT, BHA, vitamin C  นอกจากนี้ยังพบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่ก่อเกิดโรคที่ผิวหนังได้ และสมุนไพรตรีผลาเป็นสมุนไพรที่มีการใช้อย่างมากในประเทศอินเดีย เป็นตำรับยาอายุรเวท ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงร่างกายและอีกหลายโรค ในประเทศไทยมีสมุนไพรตรีผลาที่สามารถพบได้ในป่า และพื้นที่ปลูกทั่วประเทศ ถือได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง  มะขามป้อม เป็นสมุนไพรที่มีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และต้านเอนไซม์ไทโรซิเนส มากกว่าสมอไทย และสมอพิเภก ปัจจุบันในท้องตลาดก็มีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของมะขามป้อมเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนผสมของสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด (ตรีผลา) ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงมุ่งวิจัยครีมตรีผลาเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ทำให้ผิวกระจ่างใส เพื่อเป็นผลิตภัณฑ์อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค งานวิจัยนี้ได้ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและเอนไซม์ไทโรซิเนสของสมุนไพรตรีผลา คือ มะขามป้อม (Phyllanthus emblica L.), สมอไทย (Terminalia chebula Retz.) และ สมอพิเภก (Terminalia bellirica Roxb.) พบว่าสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้น้อยกว่าสารเปรียบเทียบเล็กน้อย (Vitamin C) โดยมะขามป้อมมีฤทธิ์ดีที่สุด (ค่า ED50 ของ Vitamin C, มะขามป้อม, สมอพิเภก, และสมอไทย เท่ากับ 1.78, 2.28, และ 5.06 ?g/ml, ตามลำดับ) และมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสได้น้อยกว่าสารมาตรฐาน kojic acid โดยสมอพิเภกมีฤทธิ์ดีที่สุด (ค่า ED50 ของ kojic acid, สมอพิเภก, สมอไทย, มะขามป้อม เท่ากับ 0.04, 1.18, 1.50, 1.75 ?g/ml, ตามลำดับ) และผลตรวจสอบทางเคมีเบื้องต้นพบว่า สมุนไพรทั้ง 3 ชนิด ประกอบด้วยสารกลุ่ม hydrolyzable tannins, alkaloids และ coumarins และปริมาณสาร gallic acid (โดยวิธี High Pressure Liquid Chromatography) ในสารสกัดมะขามป้อม สมอพิเภก และสมอไทย มีค่าเท่ากับ11.72, 6.90, 3.88%w/w ตามลำดับ หลังจากนั้นเตรียมสารสกัดตรีผลาเป็น 2 สูตร คือ สูตรที่ 1 ประกอบด้วย มะขามป้อม:สมอพิเภก:สมอไทย อัตราส่วน 3:2:1 และสูตรที่ 2 อัตราส่วน 1:1:1 แล้วนำไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส พบว่า สูตรที่ 1 มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ได้ดีกว่าสูตรที่ 2 สารสกัดตรีผลาสูตรที่ 1 มี % gallic acid เท่ากับ 9.86 % สูตรที่ 2 มีปริมาณ 8.43 %  ส่วนการเตรียมครีมตรีผลา ได้เตรียมด้วยกระบวนการที่ใช้ความร้อน และไม่ใช้ความร้อน โดยเตรียมเป็น 4 ความเข้มข้นคือ 0.05%, 0.1%, 0.2% และ 0.5% แล้วทดสอบลักษณะทางกายภาพและเคมีของตำรับครีมตรีผลา และทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ พบว่าตำรับครีมตรีผลา สูตรที่ 1 ความเข้มข้น 0.2% มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงสุด และเหมาะเป็นครีมที่จะพัฒนาต่อไปเป็นครีมบำรุงผิว ทำให้ผิวกระจ่างใส13 งานวิจัยนี้ถือได้ว่าเป็นงานวิจัยที่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสมุนไพรที่มีในประเทศไทย เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสมุนไพร และเป็นการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพร เป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศให้ยังอยู่ต่อไป

เอกสารอ้างอิง

  1. นันทนา พฤกษ์คุ้มวงศ์, บรรณาธิการ.  การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางผิวหนัง.  กรุงเทพฯ: อาร์พิดดี, 2533.
  2. วิฑูรย์ กรชาลกุล สมศักดิ์ ปราชญ์วัฒนกิจ.  การตั้งตำรับครีมช่วยให้หน้าขาว.  โครงการพิเศษปริญญาเภสัชศาสตร์บัณฑิต.  กรุงเทพฯ: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2534.
  3. Smit N, Vicanova J, Pavel S.  The hunt for natural skin whitening agents.  Int J Mol Sci 2009; 10: 5326-49.
  4. Cho YH, Kim JH, Park SM, Lee B, Pyo HB, Park HD.  New cosmetic agents for skin whitening from Angelica dahurica.  J Cosmet Sci 2006; 57(1): 11-21.
  5. Boissy RE, Visscher M, Delong MA.  Deoxy arbutin: a novel reversible tyrosinase inhibitor with effective skin lightening potency.  Exp Dermatol 2005; 14(8): 601-8.
  6. Nohynek GL, Kirkland D, Marzin D, Toutain H, Leclerc-Ribaud C, Jinnai H.  An assessment of the genotoxicity and human health risk of topical use of kojic acid.  Food Chem toxicol 2004; 42(1): 93-105.
  7. Shibuya T, Murota T, Sakamoto K, Ivahara H, Ikino M.  Mutagenicity and dominant lethal test of kojic acid.  J Toxicol Sci 1998; 7(4): 255-62.
  8. Kameyama K, Sakai C, Kondoh S.  Inhibitory effect of magnesium L-ascorbyl-2-phosphate (VC-PMG) on melanogenesis in vitro and in vivo.  J Am Acad Dermatol 1996; 34(1): 29-33.
  9. Wang CC, Wu SM.  Simultaneous determination of L-ascorbic acid, ascorbic acid-s-phosphate magnesium salt, and ascorbic acid-6-palmitate in commercial cosmetics by micellar electrokinetric capillary electrophoresis.  Anal Chim Acta 2006; 576(1): 124-9.
  10. Yoshimura M, Watanabe Y, Kasai K.  Inhibitory effect of an ellagic acid-rich pomegranate extract on tyrosinase activity and ultraviolet-induced pigmentation.  Biosci Viotechonol Biochem 2005; 69(12): 2368-73.
  11. วราภรณ์ จรรยาประเสริฐ.  เครื่องสำอางทำให้ผิวขาว.  กรุงเทพ: ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล; 2550.
  12. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ทบทวนเอกสาร. Avialiable at: http://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2551/biol0451tp_ch2.pdf . Accessed July, 15, 2013.
  13. ปฏิมา บุญมาลี  ปัทมา เทียนวรรณ.  ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและเอนไซม์ไทโรซิเนสของครีมตรีผลา.  โครงการพิเศษปริญญาเภสัชศาสตร์บัณฑิต.  กรุงเทพฯ: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2556.
ที

มาตรฐานทางกายภาพของยาเม็ดสมุนไพร

 บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน

ผลิตภัณฑ์สมุนไพรตอนที่ 2: มาตรฐานทางกายภาพของยาเม็ดสมุนไพร

ที่มา

 ในปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรในรูปแบบยาเม็ดได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีความคงสภาพที่ดีทั้งทางกายภาพและเคมี และสะดวกในการรับประทาน มากกว่ายาสมุนไพรในรูปแบบอื่น อีกทั้งได้รับส่วนแบ่งตลาดมากกว่ายาสมุนไพรรูปแบบอื่นๆ เช่นกัน

สูตรตำรับของผงยาหรือแกรนูลยาสมุนไพรที่สามารถตอกอัดเป็นเม็ดได้นั้น จำเป็นต้องพัฒนาตำรับมีคุณสมบัติที่สำคัญ 2 ประการ คือ ความสามารถในการไหลที่ดี เพื่อให้แต่ยาเม็ดแต่ละเม็ดมีขนาดรับประทานที่สม่ำเสมอ และความสามารถตอกอัดเป็นยาเม็ดได้ดี รวมทั้งพัฒนาให้มีคุณสมบัติทางกายภาพอื่นๆ เพื่อให้ได้ยาเม็ดที่มีคุณสมบัติที่ดี ได้แก่ ยาเม็ดมีลักษณะภายนอกที่สวยงามจากการตรวจดูด้วยตาเปล่า มีความสม่ำเสมอความหนายาเม็ด มีความแข็งมากพอสมควรเพื่อไม่ให้แตกหัก มีความกร่อนที่ค่อนข้างต่ำเพื่อมีให้ยาเม็ดร่วนเป็นผงในระหว่างเดินทางหรือขนส่ง มีความชื้นที่ค่อนข้างต่ำเพื่อไม่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ รวมทั้งการพัฒนาตำรับให้มีความคงสภาพที่ดีทางเคมีและกายภาพ

การตรวจดูด้วยตาเปล่า (Visual Inspection)

International Pharmacopoeia1 (IP) ได้กำหนดการตรวจสอบด้วยตาเปล่าสำหรับยาเม็ดว่า เปิดภาชนะ สุ่มตัวอย่างมาตรวจสอบอย่างน้อย 20 เม็ด จะต้องไม่มีเม็ดใดชำรุดเสียหาย ทุกเม็ดจะต้องมีผิวเรียบและมีสีที่สม่ำเสมอ

มีหลักฐานความคงสภาพทางกายภาพว่า ไม่มีเศษผง เศษยาเม็ดที่ก้นภาชนะ ยาเม็ดจะต้องไม่แตกร้าว แยกฝา หรือบิ่นที่ผิวยาเม็ดหรือผิวเคลือบ บวม ด่างสี สีจาง หรือมีการเชื่อมติดระหว่างเม็ด ไม่มีผลึกที่ผนังภาชนะ หรือบนผิวยาเม็ด สามารถแตกตัวในทางเดินอาหารได้เร็ว เมื่อรับประทานยาเข้าไป

ความแปรปรวนของน้ำหนักยาเม็ด (Weight Variation)



ในหัวข้อ Dietary Supplements ของ USP2 ได้กำหนดมาตรฐานของความแปรน้ำหนักยาเม็ดไว้ว่า ให้สุ่มตัวอย่างยาในแต่ละครั้งผลิต (batch) มา 20 เม็ด ชั่งน้ำหนักทีละ 1 เม็ด และคำนวณหาน้ำหนักเฉลี่ย กำหนดเกณฑ์ไว้ว่า จะต้องมีน้ำหนักเม็ดยาไม่เกิน 2 เม็ด ที่มีความเบี่ยงเบนมากกว่าจำนวนร้อยละที่กำหนดไว้ และต้องไม่มีเม็ดใดเลยที่มีความเบี่ยงเบนมากกว่า 2 เท่าของจำนวนร้อยละที่กำหนดในตารางที่ 1 จากน้ำหนักเฉลี่ย

จากตารางแสดงให้เห็นว่า เภสัชตำรับยอมให้ยาเม็ดที่น้ำหนักน้อยมีค่าเบี่ยงเบนน้ำหนักมากว่ายาเม็ดที่น้ำหนักมาก และยอมให้เพียง 2 เม็ดที่ค่าเบี่ยงเบนเกิน 10, 7.5 และ 10% ตามลำดับ แต่ไม่ยอมให้เม็ดใดเลยที่น้ำหนักเกิน 20, 15 และ 10% ตามลำดับ

ความหนายาเม็ด (Tablet Thickness)

ความหนาของยาเม็ดขึ้นกับน้ำหนักของยาเม็ด แรงตอก และความหนาแน่นของผงยาก่อนตอกยาเม็ด การควบคุมให้ยาเม็ดมีน้ำหนักสม่ำเสมอขึ้นกับการไหลที่ดีของผงยาก่อนตอกยาเม็ด จะทำให้ยาเม็ดมีความหนาสม่ำเสมอ แต่ละครั้งผลิตอาจสุ่มตัวอย่างมา 10 เม็ด วัดความหนายาเม็ดด้วยเครื่องวัดความหนายาเม็ด (thickness gauge) ดังแสดงในรูปที่ 2 หาค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที่ได้เป็น มม. (mm)



ความแข็งยาเม็ด (Tablet Hardness)

ไม่มีข้อกำหนดความแข็งยาเม็ดในเภสัชตำรับ โรงงานจะใช้ข้อกำหนดนี้ควบคุมมาตรฐานของยาเม็ดอันหนึ่งเพื่อให้ยาเม็ดไม่หักบิ่นระหว่างกระบวนการผลิตและการขนส่ง โดยทั่วไปกำหนดให้ยาเม็ดมีความแข็งประมาณ 4-6 กิโลกรัม หรือมากกว่าตามความเหมาะสม เช่น ช่วงความแข็ง 6-8 กก. สำหรับยาเม็ดหญ้าปักกิ่ง แต่ละครั้งผลิตอาจสุ่มตัวอย่างมา 10 เม็ด วัดความแข็งด้วยเครื่องวัดความแข็งยาเม็ด ได้แก่ Stokes-Monsanto hardness tester ดังแสดงในรูปที่ 3



ความกร่อนยาเม็ด (Tablet Friability)

ในระหว่างขนส่งยาเม็ดอาจมีโอกาสกระแทกกันเองหรือกระแทกกับผนังภาชนะบรรจุ ทำให้ยาเม็ดกร่อน แตกเสียหาย ตำรับยาเม็ดจะต้องให้ยาเม็ดที่มีความกร่อนต่ำเพื่อต้านทานความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง ควรยึดตามเกณฑ์ USP2 ที่กำหนดให้ยาเม็ดไม่เคลือบให้มีความกร่อนได้ไม่เกิน 1 % โดยไม่มีเม็ดใดแตกเสียหาย วิธีการคือหากน้ำหนักยาเม็ดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 650 มก. ชั่งมาให้ได้น้ำหนักรวมของเม็ดยาเท่ากับ 6.5 กรัม หากน้ำหนักเม็ดยามากกว่า 650 มก. ให้นำมาทดสอบจำนวน 10 เม็ด ปัดฝุ่นที่ติดเม็ดยาออกให้หมด นำไปใส่เครื่องวัดความกร่อน (Friabilator, Roche Model) โดยเปิดเครื่องหมุนทั้งสิ้น 100 รอบ เป็นเวลา 4 นาที นำเม็ดยาออกจากเครื่อง ปัดฝุ่นออกให้หมด แล้วนำไปชั่งอีกครั้ง ร้อยละความกร่อนคำนวณได้จาก





เวลาในการแตกตัวของยาเม็ด (Disintegration Time)

เมื่อรับประทานยาเข้าไปยาเม็ดจะเกิดการแตกตัว ซึ่งการแตกตัวของยาเม็ดจะเร็วหรือช้าขึ้นกับคุณสมบัติและปริมาณตัวยาต่างๆ เช่น สารช่วยแตกตัว สารช่วยยึดเกาะที่ใช้ในตำรับ เมื่อยาเม็ดแตกตัวแล้วตัวยาสำคัญจะละลายและถูกดูดซึมได้ จะเห็นได้ว่าทั้งการแตกตัวนั้นมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพในการรักษาระดับหนึ่งของผลิตภัณฑ์ยาเม็ด ในเภสัชตำรับได้กำหนดมาตรฐานการแตกตัว ซึ่งสรุปสั้นๆ ได้ดังต่อไปนี้

USP2 ได้กำหนดเครื่องทดสอบการแตกตัวดังรูปที่ 5 ซึ่งดูรายละเอียดได้จากบทความเรื่อง “การละลายและการแตกตัวของยาเม็ด เหมือนหรือต่างกัน” ที่อาจารย์ ดร. ภญ วารี ลิมป์วิกานต์3 ได้เขียนไว้ จับเวลา และดูว่าเมื่อครบเวลา ยาเม็ดทั้ง 6 เม็ดแตกตัวหมดหรือไม่ ถ้าไม่มีเหลือบนตะแกรงเลยถือว่ายานั้นผ่านการทดสอบ โดยทั่วไปยาเม็ดไม่เคลือบใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที ยาเม็ดเคลือบฟิล์มใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง ยาเม็ดฟองฟู่ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ส่วนยาเม็ดออกฤทธิ์นานที่อมใต้ลิ้น อมภายในอุ้งปาก ไม่ต้องทดสอบการแตกตัวของยาเม็ด เพราะต้องการให้ยาออกฤทธิ์นาน ยาเม็ดเคี้ยวก็ไม่ต้องทดสอบการแตกตัวเช่นเดียวกัน



ความชื้นที่หายไปเมื่ออบแห้ง (Loss on Drying, LOD)

เป็นข้อกำหนดในการควบคุมปริมาณความชื้น โดยหาน้ำหนักที่สูญหายไป หลังจากการอบแห้งในตู้อบ ในสภาวะอุณหภูมิ และเวลาที่กำหนด ให้สำหรับยาสำเร็จรูป เช่น ยาเม็ด ยาแคปซูล ยาผง เป็นต้น



จากประสบการณ์ ควรควบคุมความชื้นของยาเม็ดสมุนไพรไม่ให้เกิน 3.5% เพื่อทำให้ตอกยาเม็ดไม่ติดขัด มีความแข็งพอเหมาะ และไม่ส่งเสริมการเติบโตของจุลินทรีย์
การทดสอบความคงสภาพของยาเม็ดสมุนไพร

การทดสอบแบบเร่ง

ก. อุณหภูมิ 40 + 2oC และความชื้นสัมพัทธ์ 75 + 5% RH เป็นเวลานาน 6 เดือน

ข. อุณหภูมิ 45 + 2oC และความชื้นสัมพัทธ์ 75 + 5% RH เป็นเวลานาน 4 เดือน

การทดสอบระยะยาว

ก. อุณหภูมิ 25 + 2oC และความชื้นสัมพัทธ์ 60 + 5 % RH

ข. อุณหภูมิ 30 + 2oC และความชื้นสัมพัทธ์ 75 + 5 % RH (ประเทศไทย)

อาจทำการทดสอบคุณสมบัติยาเม็ดดังต่อไปนี้ ได้แก่ ลักษณะภายนอก การตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ทางเคมี ปริมาณสารสำคัญหรือสารเทียบ การแปรปรวนของน้ำหนักยาเม็ด เวลาในการแตกตัว เป็นต้นว่ายังมีความคงสภาพที่ดีคุณสมบัติทางกายภาพ และทางเคมีที่ดีเป็นที่ยอมรับได้

เอกสารอ้างอิง

The International Pharmacopoeia. 3rd. Volume 5. Tests and general requirements for dosage forms: Quality specifications for pharmaceutical substances and tablets. Geneva: World Health Organization; 2003.
The United States Pharmacopeia 35 / The National Formulary 30. Rockville, MD: The United States Pharmacopeial Convention; 2012.
วารี ลิมป์วิกรานต์. การละลายและการแตกตัวของยาเม็ด เหมือนหรือต่างกัน. ภาควิชาเภสัชอุตสาหกรรม คณะเภสัชศาสตร์

https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=138
แนวทางการทดสอบความคงสภาพของยาและผลิตภัณฑ์ยา. นนทบุรี: สำนักยา, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, กระทรวงสาธารณสุข; 2547.

สนุกกับการผลิตยาเม็ดสมุนไพร

 บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน

ผลิตภัณฑ์สมุนไพรตอนที่ 1: สนุกกับการผลิตยาเม็ดสมุนไพร

ที่มา

ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรในรูปแบบต่างๆ มากมาย เช่น ยาเม็ด ยาแคปซูล ยาเม็ดเคลือบ ยาน้ำ และยาครีม เป็นต้น โดยยาเม็ดเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีความคงตัวดีทั้งทางกายภาพและเคมี และสะดวกในการรับประทาน สำหรับสูตรตำรับของยาสมุนไพรที่สามารถตอกอัดเป็นเม็ดได้นั้น จำเป็นต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญ2 ประการ คือ ความสามารถในการไหลที่ดี เพื่อให้แต่ยาเม็ดแต่ละเม็ดมีขนาดรับประทานที่สม่ำเสมอ และความสามารถตอกอัดเป็นยาเม็ดได้ดีโดยทั่วไปจะใช้เทคนิคการทำแกรนูลเปียก กล่าวคือผสมผงสมุนไพรกับตัวยาช่วยต่างๆ ชนิดและปริมาณที่เหมาะสม เตรียมเป็นแกรนูลเปียกจากการใช้สารยึดเกาะและตัวทำละลายที่เหมาะสม ได้แก่ น้ำ และหรือเอธานอล เป็นต้น โดยใช้เครื่องผสมเปียกและเครื่องแร่ง นำไปอบแห้ง แร่งให้ขนาดเล็กสม่ำเสมอ ผสมสารหล่อลื่นชนิดต่างๆ แล้วนำมาตอกด้วยเครื่องตอกยาเม็ด

ยาเม็ดสมุนไพร คือยาสมุนไพรที่ถูกตอกให้มีรูปร่างแบนกลม วงรี เหลี่ยม หรือลักษณะสวยงามอื่นๆ มีลักษณะแข็ง สำหรับรับประทาน สารช่วยต่างๆ ในตำรับยาเม็ดสมุนไพร ประกอบด้วย

สารยึดเกาะช่วยให้ผงยึดเกาะกัน นิยมใช้ในการเทคนิคการทำแกรนูลเปียก โดยเตรียมเป็นสารละลายยึดเกาะ ได้แก่ พีวีพี (PVP: polyvinylpyrrolidone)อะเคเชีย เจลาตินปริมาณที่ใช้ประมาณ 2- 4% โดยน้ำหนักแห้งของตำรับ โดยเตรียมในความเข้มข้นที่เหมาะสม นอกจากนี้แป้งเปียกความเข้มข้น 10% โดยน้ำหนัก อาจเตรียมจากแป้งมันสำปะหลัง แป้งข้าวโพดโดยปริมาณน้ำหนักแห้งที่ใช้ประมาณ 6% ของผงสมุนไพร เป็นต้น ผ่านแร่งเพื่อเตรียมแกรนูลเปียกเสร็จแล้วนำไปอบแห้ง และผ่านแร่งให้แกรนูลเล็กลงและขนาดสม่ำเสมอโดยเครื่องแร่งที่เหมาะสม เช่น เครื่องออสซิลเลตติงแกรนูเลเตอร์(oscillating granulator)เรียกสั้นๆ ว่า ออสซิลเลเตอร์
สารช่วยแตกตัว ช่วยให้ยาเม็ดแตกตัวได้ดีในทางเดินอาหาร มีให้เลือกใช้ 2 แบบ แบบแรกออกฤทธิ์โดยการชุ่มน้ำ ราคาค่อนข้างถูก ได้แก่ แป้งชนิดต่างๆ อาจใช้ในปริมาณ 8-10% โดยน้ำหนักของตำรับแบบที่สองออกฤทธิ์โดยการพองตัว ราคาค่อนข้างแพงได้แก่ ครอสคาร์เมลโลสโซเดียม(croscarmellose sodium) และ โซเดียมสตาร์ชกลัยโคเลต (sodium starch glycolate) เป็นต้น แต่ใช้ในปริมาณน้อยกว่า คืออาจใช้ในปริมาณ 5% โดยน้ำหนักของตำรับ
สารช่วยตอกตรง(direct compression filler) ช่วยให้ยาเม็ดสมุนไพรบางตำรับมีความแข็งเพิ่มขึ้นและความกร่อนลดลง จากเดิมที่ตอกแล้วไม่ค่อยแข็ง ได้แก่ ไมโครคริสตอลลีนเซลลูโลส (microcrystalline cellulose)เป็นต้น ข้อดีนอกเหนือจากนี้คือยาเม็ดจะแตกตัวได้เร็ว เพราะการพองตัวของสารชนิดนี้
สารกลบรสกลบกลิ่น ในบางกรณี เช่น ยาเม็ดแก้ไอประสะมะแว้ง ผู้เขียนเคยใช้เจลาติน และอะเคเชีย กลบรสขมและกลบกลิ่นยาสมุนไพร รวมทั้งใช้เป็นสารยึดเกาะสองชนิดนี้ในอัตราส่วนที่เหมาะสม
สารแต่งรสหวานหรือสารแต่งกลิ่น ช่วยกลบรสกลบกลิ่นตัวยาสำคัญและสีช่วยให้ยาเม็ดมีสีที่จูงใจผู้บริโภคสารแต่งรสหวานที่ใช้ได้แก่ ซูคาร์โลส เป็นต้น สารแต่งกลิ่นอาจเป็นกลิ่นผลไม้ และสีที่ใช้ จะต้องได้รับการยอมรับจาก อย. ว่าปลอดภัยและไม่เป็นพิษปัจจุบันสารแต่งกลิ่นผลิตในรูปผงกลมที่ง่ายต่อการเตรียมตำรับ แต่ต้องใส่ในปริมาณเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ขัดขวางการไหลหรือการตอกยาเม็ด เนื่องจากมีคุณสมบัติค่อนข้างเหนียว
สารหล่อลื่น/แท้ช่วยให้ตอกยาเม็ดได้ง่าย ผิวเรียบเป็นมันลดแรงเสียดทานขณะตอกยาเม็ด เช่น แมกนีเซียมสเตียเรตในปริมาณ 0.5 - 1.0% ของตำรับ เป็นชนิดหนึ่งของสารหล่อลื่น
สารช่วยไหล ช่วยให้ผงไหลดี ได้แก่ fumed silicon dioxide ในปริมาณ 0.25% ของตำรับ เป็นต้น เป็นชนิดหนึ่งของสารหล่อลื่นเช่นเดียวกัน
สารกันติด ช่วยให้ยาเม็ดไม่ติดสากและแม่พิมพ์ขณะตอก ได้แก่ แมกนีเซียมสเตียเรต fumed silicon dioxideในปริมาณที่กล่าวมา ทาลค์(talc) หรือแป้งชนิดต่างๆ ในปริมาณที่เหมาะสม เป็นต้นเป็นชนิดหนึ่งของสารหล่อลื่นเช่นเดียวกัน


วิธีการที่นิยมเตรียมกันคือ เทคนิคการทำแกรนูลเปียกดังกล่าว โดยใช้สารช่วยต่างๆ ลำดับ 1–4 ผสมกับยาสมุนไพรให้เข้ากันดีในเครื่องผสมแห้งที่เหมาะสม เช่นเครื่องผสมรูปตัววี หรือลูกบาศก์ และทำแกรนูลเปียกโดยใช้สารละลายยึดเกาะที่เหมาะสม เพื่อทำให้เกิดมวลชื้นในเครื่องผสมเปียก เช่น ซิกม่าเบลดมิกเซอร์ ดังแสดงในรูปที่ 1 ก. ข. และค. ตามลำดับและสามารถผ่านเครื่องทำแกรนูลเปียก เช่น เครื่องออสซิลเลเตอร์ เป็นต้น เข้าเครื่องอบแห้งในเวลาที่กำหนดโดยอบให้เหลือปริมาณความชื้นไม่เกิน3.5% โดยน้ำหนัก ดังแสดงในรูปที่ 2 ก. และ ข. และผ่านออสซิลเลเตอร์ให้ได้แกรนูลขนาดเล็กและสม่ำเสมอ ต่อมาก่อนตอกยาเม็ดให้ผสมแกรนูลแห้งกับสารช่วยลำดับ 5–8 ผสมแห้งให้เข้ากันดีในเครื่องผสมที่เหมาะสมเช่นเครื่องผสมรูปตัววี เป็นต้น จึงนำมาตอกยาเม็ดด้วยเครื่องตอกโรตารี่ ดังแสดงในรูปที่ 2 ค. ทำการควบคุมมาตรฐานต่างๆ ได้แก่ น้ำหนักยาเม็ดที่สม่ำเสมอไม่แปรปรวน มีความแข็งประมาณ 4-5 กิโลกรัม หรือมากกว่า ความกร่อนยาเม็ดไม่เกิน 1.0% มีความหนาสม่ำเสมอ และยาเม็ดแตกตัวในเครื่องทดสอบการแตกตัวภายในเวลาที่กำหนด(ไม่เกิน 30 นาที) เป็นต้น



จากประสบการณ์การผลิตยาเม็ดสมุนไพร ยาเม็ดสมุนไพรอาจแบ่งเป็น 3 ประเภท ด้วยกันดังนี้

ยาเม็ดสมุนไพรพัฒนาจากผงสมุนไพรของชิ้นส่วนของต้นพืชชื่อเดียวกัน เช่น ผงฟ้าทะลายโจร (จากใบและกิ่ง) ผงใบมะขามแขก (Sennaalexandrina P. Miller.) เป็นต้น สารยึดเกาะที่น่าใช้ ได้แก่ แป้งเปียกจากแป้งมันสำปะหลังหรือแป้งข้าวโพด ปริมาณที่ใช้ประมาณ 6% โดยน้ำหนักแห้งของตำรับ เป็นต้น
ยาเม็ดสมุนไพรจากตำรับยาสมุนไพรไทย (Thai Herb Recipe) หรือยาแผนไทย ของชิ้นส่วนที่แตกต่างของต้นพืชต่างชนิดเช่น กรณีศึกษาแรกเป็นยาเม็ดแก้ไอประสะมะแว้ง ซึ่งเลือกใช้ส่วนผสมของเจลาตินและอะเคเชียในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นสารยึดเกาะและกลบรสกลบกลิ่นยาสมุนไพรไทยโดยไม่ใช้สารช่วยแตกตัว เพื่อทำให้อมยาเม็ดในปากได้นานขึ้น กรณีตัวอย่างต่อมาเป็นยาเม็ดแก้ไข้จันทลีลา อาจใช้สารยึดเกาะที่น่าใช้ ได้แก่ แป้งเปียกจากแป้งมันสำปะหลังหรือแป้งข้าวโพด ปริมาณที่ใช้ประมาณ 6% โดยน้ำหนักแห้งของตำรับ เป็นต้น และกรณีตัวอย่างสุดท้ายเป็นยาเม็ดสหัศธารา ซึ่งใช้บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ จะคล้ายคลึงในการเลือกใช้ PVP K-90 เป็นสารยึดเกาะ และเลือกใช้ไมโครคริสตอลลีนเซลลูโลสช่วยเพิ่มความแข็ง และลดความกร่อนของยาเม็ด รวมทั้งทำให้ยาเม็ดแตกตัวได้เร็วขึ้น เป็นต้น
ยาเม็ดสมุนไพรผงสกัดหยาบ (crude extract) ที่ได้จากการแปรรูปน้ำคั้นสมุนไพร ได้แก่ กรณีศึกษาแรกเป็นผงสกัดหญ้าปักกิ่งที่ได้จากการพ่นแห้ง(spray drying) น้ำคั้นหญ้าปักกิ่ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้สารละลายยึดเกาะ แต่ผสมเปียกด้วยเอธานอลความเข้มข้นค่อนข้างสูงโดยปริมาตรในน้ำ เพื่อไม่ให้มวลชื้นที่ได้ไม่เหนียวเกินไป เมื่อตอกยาเม็ดจะมีสารสกัดหญ้าปักกิ่งราว 670 มก. ได้ความแข็งประมาณ 6 กิโลกรัม ใช้รับประทานเพื่อต้านเซลล์มะเร็ง อีกกรณีศึกษาเป็นผงสกัดที่ได้จากการอบแห้งเยือกแข็ง (freeze drying) น้ำคั้นดอกกระบองเพชร จะมี PVP K-90 เป็นสารยึดเกาะในปริมาณ 1% ของตำรับ และยาเม็ดมีสารสกัดดังกล่าว 670 มก. เช่นกัน กรณีหลังยาเม็ดที่ได้มีปัญหาการแตกตัวในน้ำช้ามากแม้จะใช้สารช่วยแตกตัวชนิดต่างๆ แล้วก็ตาม สาเหตุเป็นเพราะว่าสารเมือกในดอกกระบองเพชรจะต้านการแตกตัวของยาเม็ดผู้เขียนจึงพัฒนาเป็นยาผงและปรับรสหวานด้วยซูคาร์โลสในปริมาณเล็กน้อยสำหรับชงกับน้ำดื่มในลักษณะ 1 ซองต่อแก้ว



เอกสารอ้างอิง

Gordon RE, Rosanske TW, Fonner DE, Anderson NR, Banker GS. Granulation technology and tablet characterization. In: Lieberman, HA, Schwartz JB, eds. Pharmaceutical dosage forms: tablets, vol 3. 2nded. New York: Marcel Dekker, 1990; 245 - 348.
Banker GS, Anderson NR.Tablets. In: Lachman L, Kanig JL, eds. The theory and practice of industrial pharmacy. 2nd ed. Philadelphia: Lea & Febiger, 1986; 293 - 345.
คู่มือปฏิบัติการเภสัชการ 1 (ภกผอ 211). อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชอุตสาหกรรม, บก. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2555.
บัญชียาจากสมุนไพร พ.ศ. ๒๕๕๔. ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่องบัญชียาหลักแห่งชาติ ฉบับที่๔.คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ, พ.ศ. ๒๕๕๔.

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2562

มะเขือพวงบดแคปซูล



มะเขือพวงจากสวนเกษตรที่ปลอดสารพิษมาเกือบ 10ปี
เพราะเราปลูกเอง ไม่ได้รับซื้อจากภายนอกมาทำ
เราทำอาชีพปลูกสมุนไพร แบบบ้านๆ เอง บนแผ่นดินที่ไม่มียาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง หรือปุ๋ยเคมีใดๆ
เราทำปุ๋ยเอง ทำน้ำหมักเองทุกอย่าง เพื่อให้ผลผลิตของเราปลอดภัยจากสารพิษ และไม่มีโอกาสที่รากจะดูดสารพิษ จากดิน ไปสะสมไว้ที่ผลมะเขือพวง อย่างแน่นอน นี่คือความตั้งใจสูงสุดของเรา

มะเขือพวงอบบดแห้ง บรรจุแคปซูล  0809898770 โทร+ไลน์

ลดความดัน เบาหวาน ใขมันในเลือดได้ ในเวลา 45 วัน(โดยประมาณเมื่อทานวันละ 4 มือตามกำหนด)
ราคา 150 บาท/ชุด(ทดลอง)
ราคา 350บาท/ชุด










หัวปลีแห้ง-แคปซูล เพิ่มน้ำนม




หัวปลีแห้ง  ราคา ถุงละ 180 บาทเหมาะสำหรับคุณแม่ที่อยู่กับบ้าน หรือคนที่ชอบทานต้มหัวปลีแต่ไม่สะดวก ในการออกไปซื้อในเมืองใหญ่

หัวปลีบดผง  ราคา ถุงละ 200 บาท เหมาะสำหรับ ชงน้ำดื่ม หรือ ใส่ประกอบอาหารต่างๆ

หัวปลีแคปซูล  สำหรับคุณแม่และสาวออฟฟิต ที่ต้องทำงานนอกบ้าน สะดวก ทุกเวลา

กินเพื่อเร่งน้ำนมคุณแม่หลังคลอดหรือกินเพื่อบำรุงร่างกาย ได้หมดและสดชื่น

เราปลูกกล้วยบนแผ่นดินที่ปลอดสารพิษเหกือบ10ปี มั่นใจไม่มีสารตกค้างใดๆ จากรากส่งถึงปลีกล้วยแน่นอน เพราะเราไม่ได้รับซื้อใครมาทำ




สรรพคุณของหัวปลี  

1. บำรุงเลือด
หัวปลีมีธาตุเหล็กสูง ช่วยบำรุงเลือด ป้องกันโลหิตจาง โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์หรือคุณแม่หลังคลอดบุตร

2. ขับน้ำนม
หัวปลี ด้วยสรรพคุณหัวปลีที่ช่วยบำรุงเลือด ทำให้หัวปลีมีประโยชน์ในการช่วยขับน้ำนมของหญิงหลังคลอดบุตร โดยให้รับประทานเมนูหัวปลีหลังคลอดใหม่ ๆ จะช่วยขับน้ำนมได้ดีมาก

3. ลดระดับน้ำตาลในเลือด
การศึกษาในวารสาร Phytoterapy Research เมื่อปี 2000 เผยผลการวิจัยฤทธิ์ของหัวปลีกับการลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยทดลองให้หนูกินหัวปลี 0.15-0.25 กรัมต่อน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ตลอดระยะเวลา 30 วัน ซึ่งพบว่า ระดับน้ำตาลในเลือดของหนูลดลง และมีระดับฮีโมโกลบินเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การทดลองนี้ยังอยู่ในขอบเขตของสัตว์ทดลองเท่านั้น ส่วนการทดลองในคนยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

4. ลดการอักเสบในร่างกาย
ในหัวปลีมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า มีทานอล ซึ่งงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Science and Biotechnology เมื่อปี 2010 พบว่า สารสกัดจากหัวปลีมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ค่อนข้างมาก และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ป้องกันการอักเสบในร่างกายได้

5. ประจำเดือนมามาก หัวปลีช่วยได้
แมัห้วปลีจะมีสรรพคุณบำรุงเลือด แต่สำหรับสาว ๆ ที่ประจำเดือนมามากเกินไป (ต้องใช้ผ้าอนามัยเกิน 5 ชิ้นต่อวัน) หัวปลีจะช่วยลดปริมาณเลือดประจำเดือนให้ได้ค่ะ โดยหัวปลีมีสรรพคุณกระตุ้นร่างกายให้สร้างฮอร์โมนโปรเจสเทอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย ช่วยให้ปริมาณเลือดประจำเดือนที่มามาก มาเกินความจำเป็นลดน้อยลงไปได้

6. ช่วยต้านเศร้า
หัวปลีมีแมกนีเซียม ธาตุอาหารสำคัญที่มีผลรักษาอาการซึมเศร้า ดังนั้นใครรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนซึม ๆ เศร้า ๆ ลองรับประทานหัวปลีสักเมนูสิคะ

7. รักษาโรคกระเพาะ
ยางจากหัวปลีมีฤทธิ์สมานแผลในกระเพาะอาหาร โดยวิธีใช้ให้นำหัวปลีมาเผาแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาดื่มให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว ใช้เป็นยาเคลือบกระเพาะก่อนรับประทานอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง สูตรนี้เป็นยาโบราณเลยล่ะค่ะ

ข้อควรระวังในการกินหัวปลี
หัวปลีเป็นสมุนไพรที่มีแป้งซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลทีหลัง ดังนั้นคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ก็พยายามอย่ากินหัวปลีเยอะจนเกินไป เพราะอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้นะคะ

https://health.kapook.com/view198278.html


 สรรพคุณของหัวปลีนั้นโดดเด่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ รุ่นปู่ยาตาทวดในเรื่องของการบำรุงน้ำนมของแม่ลูกอ่อนที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร แก้ร้อนใน ยางจากปลีกล้วยก็ใช้รักษาแผลสดหรือทาบริเวณที่แมลงกัดต่อยได้ ปัจจุบันนักวิจัยยังพบว่าหัวปลีมีคุณสมบัติบรรเทาอาการหวัด ไข้  รักษาโรคกระเพาะ และยังช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ที่สำคัญสามารถรักษาแก้โรคยอดฮิตอย่าง เบาหวานได้อีกด้วยหากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากหัวปลีอุดมเต็มไปด้วยใยอาหาร มีแมกนีเซียม ธาตุอาหารสำคัญที่มีผลรักษาอาการซึมเศร้า มีแคลเซียม และวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส ที่จะช่วยให้วิตามินเข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายทำให้ร่างกายแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก

 นอกจากนี้ปลีกล้วยยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงฟันให้แข็งแรง และช่วยให้ฟันขาวสะอาด บำรุงเลือด เพิ่มความเปล่งปลั่ง ดูมีเลือดฝาด ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี บำรุงลำไส้ โดยทั้งหมดทั้งมวลในคุณค่าสารอาหาร 100 กรัม ที่พลังงาน 26 กิโลแคลอรี แคลเซียม 37 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 52 มิลลิกรัม เหล็ก 1.0 มิลลิกรัม วิตามินเอ 283 IU วิตามินบี 1 0.04 มิลลิกรัม วิตามินบี 2 0.03 มิลลิกรัม และวิตามินซี 12 มิลลิกรัม

https://mgronline.com/goodhealth/detail/9610000085552


12 สรรพคุณของ หัวปลี ขับน้ำนม บำรุงเลือด ช่วยรักษาโรคกระเพาะ
หัวปลี หรือ banana blossom มีสรรพคุณทางยามากมาย นิยมนำมาปรุงอาหารทานดิบและสุกก็ได้ เป็นผักเครื่องเคียงผัดไทย แกงเลียงหัวปลี ยําหัวปลีกุ้งสด ลวกจิ้มนํ้าพริก ทอดมันหัวปลี ปลีกล้วยอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด มาดูกันเลยว่าปลีกล้วยมีประโยชน์อะไรบ้าง


ประโยชน์และสรรพคุณของหัวปลี
อุดมไปด้วยแคลเซียมมากกว่ากล้วยสุกถึง 4 เท่า โปรตีนธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซ บีตาแคโรทีน
ช่วยบำรุงนํ้านม และเพิ่มคุณค่าสารอาหารในน้ำนมแม่ จึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับแม่ลูกอ่อน
รักษาโรคกระเพราะอาหารอักเสบ แก้ปวดท้อง บำรุงลำไส้ อีกทั้งยังสามารถลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
ปลีกล้วยมีธาตุเหล็กจึงเป็นยาบำรุงเลือด แก้ภาวะโลหิตจาง และยังช่วยให้เลือดไหลเวียนดียิ่งขึ้น
ปลีกล้วยอุดมไปด้วยแคลเซียม จึงช่วยบำรุงฟันให้แข็งแรง และช่วยให้ฟันขาวสะอาดแข็งแรง
แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม
มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด จึงดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน
มีสารต้านอนุมูลอิสระ ปลีกล้วยมีสารกลุ่มฟีโนลิก เช่น แอนโทไซยานิน เบตา-แคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้
แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ แก้ปวดประจำเดือน
ยางจากหัวปลีก็ใช้รักษาแผลสด หรือทาบริเวณที่บวมจากแมลงสัตว์กัดต่อย ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อโรคจึงใช้รักษาอาการติดเชื้อได้
ช่วยบำรุงผิวพรรณ ให้นวลเนียน ดูมีน้ำมีนวล
ช่วยรักษาแผลในปากให้หายเร็วขึ้น ช่วยแก้ร้อนใน แผลปากเปื่อย

คุณค่าทางโภชนาการของ หัวปลี 100 กรัม
ให้พลังงาน 28 กิโลแคลอรี
น้ำ 92.3 กรัม
โปรตีน 1.4 กรัม
ไขมัน 0.2 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 5.2 กรัม
กากใยอาหาร 0.8 กรัม
แคลเซียม 28 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 40 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.7 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 26 ไมโครกรัม
วิตามินบี1 0.01 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.02 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.6 มิลลิกรัม
วิตามินซี 25 มิลลิกรัม
https://health.mthai.com/howto/health-care/27114.html


ผงใบเตย ใบเตยแห้ง

ผงใบเตย-ใบเตยแห้งขนาด100กรัม​ ถุงละ50บาท​
ค่าจัดส่งธรรมดา 25บาท (คุณเลือกจัดส่งด่วนได้)

ใบเตยผง​ สำหรับชงดื่ม​-ผสม​เบเกอรี่
ขนาด 250กรัม​ 150บาท​รวมค่าส่ง
ขนาด 500กรัม​ 250บาท​ รวมค่าส่ง
ขนาด 1กิโลละ400บาท​รวมค่าส่ง
ส่ง 3กิโลกรัม ​ขึ้นไป​ ราคาโลละ350บาท
สั่ง 5กิโลกรัม ขึ้นไป  ราคาโลละ300บาท

สามารถเก็บได้นาน2ปีเพราะเราทำแห้งมาก

ไม้นมนาง เปลือกไม้นมนาง สมุนไพรบริสุทธิ100%

ไม้นมนาง เปลือกไม้นมนาง สมุนไพรบริสุทธิ100%  
กิโลละ 200  บาท

  • เรียกน้ำนม เพิ่มน้ำนม กินง่าย หอมหวาน
  • สำหรับคุณแม่ที่กำลังมีปัญหาการให้นมบุตร 
  • มีปัญหาน้ำนมมาน้อย ลูกไม่พอกิน อยากเพิ่มน้ำนม 
  • ต้มได้ 2-3 ครั้ง หรือจนกว่ารสชาติจะจาง
  • เห็นผล ประมาณ 1-2 วัน น้ำนมจะพุ่ง 


วิธีต้ม

  • ไม้นมนาง6-7ชิ้น- อินทผาลัม6-7ลูก -ใบขนุนแก่10ใบ- ฝาง 5ชิ้น -ขิงฝาน 6ชิ้น
  • เติมน้ำผึ้งรึเฮลูบอยสีแดงได้เพิ่มรสชาติ น้ำ3ลิตร
  • แช่เย็นเก็บไว้ทานได้เพื่อความสะดวก











กระชายแห้งและบดผง

กระชายแห้งและบดผง

ฤทธิ์เป็นยาอายุวัฒนะ 
ผงกระชายทั้งเปลือกบดตากแห้งปั้นลูกกลอนกับน้ำผึ้ง กินวันละ ๓ ลูกก่อนเข้านอน ตำรับนี้เคยมีผู้รายงานว่าใช้ลดน้ำตาลในเลือดได้ หรือใช้กระชายตากแห้ง  บดผงบรรจุแคปซูล แคปซูลละ ๒๕๐ มิลลิกรัม กินวันละ ๑ แคปซูลตอนเช้าก่อนอาหารเช้าในสัปดาห์แรก วันละ ๒ แคปซูลตอนเช้าในสัปดาห์ที่ ๒

รองศาสตราจารย์ซึ่งนักเรียนทุนออสเตรเลีย อายุ ๕๔ กล่าวว่า "อดีตผมกินเหล้า สูบบุหรี่จัด มันก็เลยเสื่อมๆ ไป ปกติแล้วถึงผมอยากมันก็ไม่เกิดอะไร ขึ้น พอกินไปสักวันที่ ๓-๔  พออยากแล้วมันก็ขึ้นมาเอง ภรรยาเลยไม่ค่อยได้ นอนครับ"

ฤทธิ์แก้โรคนกเขาไม่ขัน (โรคอีดี)

วิธีที่ ๑ ใช้ตามตำราแก้ฝ้าขาวในปาก อาการจะเริ่มเปลี่ยนแปลงหลังวันที่ ๓-๔

วิธีที่ ๒ รากกระชายตากแห้งบดผงบรรจุแคปซูล แคปซูลละ ๒๕๐ มิลลิกรัม กินวันละ ๑ แคปซูลตอนเช้าก่อนอาหารเช้าในสัปดาห์แรก  วันละ ๒ แคปซูลตอนเช้าในสัปดาห์ที่ ๒  ถ้าไม่เห็นผลกินอีก ๒ แคปซูลก่อนอาหารเย็น หรือกลับไปใช้วิธีที่ ๑ จะเริ่มกินบอกภรรยาด้วย ถ้าได้ผลแล้วภรรยาบ่นให้ภรรยากินด้วยเหมือนๆ กัน

วิธีที่ ๓ เพิ่มกระชายในอาหาร ทำเป็นกับข้าวธรรมดาก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นต้มยำ (ทุบแบบหัวข่า) แกงเผ็ด (หั่นเป็นฝอย) กินทุกวัน พร้อมทั้งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เห็นผลในหนึ่งเดือน

ฤทธิ์บำรุงหัวใจ
นำเหง้าและรากกระชายปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาด หั่นตากแห้ง บดเป็นผง ใช้ผงแห้ง ๑ ช้อนชาชงน้ำดื่มครึ่งถ้วยชา คนโบราณบอกว่าลางเนื้อชอบลางยา ให้สูตรกระชายไปหลายสูตรแล้ว ถ้าใครถูกกับสูตรไหนกินไปเลย หรือจะเพิ่มการกินขนมจีนน้ำยาหรือแกงป่าใส่กระชายก็ได้ ชนิดที่ไม่ใส่กะทิก็ดี ไขมันจะได้ไม่พอกพูน




วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2562

สรรพคุณและประโยชน์ของต้นพรหมตีนสูง ! (ว่านขันหมากเศรษฐี)

 สรรพคุณของพรหมตีนสูง
ผลใช้รับประทานเพราะเชื่อว่ามีสรรพคุณด้านอายุวัฒนะและต้านความชรา (ผล)[2] ตำรายาไทยระบุว่ารับประทานผลสุกก่อนนอนเป็นประจำเพียงวันละ 4 ผล จะทำให้อายุยืน เพราะเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอด ที่ช่วยชะลอความแก่ คงความเป็นหนุ่มสาว ทำให้หน้าตา ผิวพรรณขาวผุดผ่อง เนื้อหนังเต่งตึง ผมไม่หงอก (ผล)[3]


ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย ทำให้ร่างกายมีกำลังวังชาแข็งแรง ว่องไว ไม่เหนื่อยง่าย แก้อาการอ่อนเพลีย โรคเรื้อรังที่เป็นอยู่จะมีอาการดีขึ้น (ผล, ทั้งต้น)[3]
ต้นใช้ต้มกินเป็นยาระบาย (ต้น)[1],[3]
ทั้งต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงกำหนัดในเพศชาย ช่วยเพิ่มพละกำลังทางเพศ (ทั้งต้น)[3]

วิธีใช้ : ให้ใช้ลำต้น ราก ใบ และเมล็ด ไปสตุหรือทำให้ฤทธิ์ยาอ่อนลงก่อน แล้วจึงนำไปผึ่งให้แห้งประมาณ 4-5 วัน หรือนำไปย่างกับไฟให้น้ำยางออกมาเสียก่อน แล้วจึงนำไปต้มกิน ส่วนผลสดห้ามเคี้ยวรับประทาน แต่ให้รับประทานโดยการกลืน หรือจะใช้ผลดิบนำมาตากแห้งแล้วบดเป็นผงอัดเป็นเม็ดแคปซูลรับประทานก็ได้[3]

ข้อควรระวัง : ห้ามรับประทานผลโดยการเคี้ยวเมล็ดโดยเด็ดขาด เนื่องจากผลสดมีรสขื่นคัน มียางทำให้ปากคัน ลิ้นช้า และเกิดอาการบวมพองได้ แต่สามารถกลืนลงไปในท้องได้เลย[3]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของพรหมตีนสูง
จากการทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลัน โดยการป้อนและการฉีดสารสกัดแอลกอฮอล์หยาบจากผลของต้นพรหมตีนสูงเข้าหลอดเลือดดำ พบว่า ไม่พบมีความเป็นพิษหรือทำให้หนูตาย ของสารสกัดในหนูเม้าส์ที่ได้รับสารสกัดความเข้มข้น 2,000 หรือ 5,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว หรือฉีดสารสกัด 0.5 มิลลิลิตร ที่ความเข้มข้น 50 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร เข้าทางหลอดเลือดดำที่หางของหนูทดลอง และในปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาผลของสารสกัดต่อความผิดปกติของโครโมโซมในเซลล์ไขกระดูกของหนูแรทและฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดแอลกอฮอล์หยาบจากผลของพรหมตีนสูง ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะไม่ก่อพิษเช่นเดียวกัน[2]
ประโยชน์ของพรหมตีนสูง
นอกจากจะรับประทานผลเป็นยาบำรุงกำหนัดแล้ว ยังมีความเชื่อว่า จะช่วยทำให้เกิดเสน่ห์แก่ผู้พบเห็นได้อีกด้วย

ผงกล้วยดิบ Banana Powder

ผงกล้วยดิบ Banana Powder
ผงกล้วยบด ของสวนราชินี (ไม่แอบใส่โซเดี่ยมเมต้าไบซัลไฟด์ หรือสารฟอกขาว)










ผงกล้วยดิบ Banana Powder
ผงกล้วยบด ของสวนราชินี
ปลูกบนแผ่นดินที่ปลอดสารเคมีมาเกือบ10ปี จึงไม่มีสารพิษ จากยาฆ่าหญ่า ยาฆ่าแมลง ที่รากจะดูดซึมเอาไปไว้ที่ผลกล้วย

ผงกล้วยที่ท่านซื้อไป จึงปลอดสารพิษ อย่างแท้จริง ชนิดที่สามารถมาดูด้วยตาตัวเองได้ทุกเวลา
จึงมั่นใจว่าท่านไม่ได้กินผงกล้วยที่ปนยาฆ่าหญ้าเขาไป อย่างแน่นอน เพราะไม่มีการรับซื้อกล้วยจากภายนอกเข้ามาทำ นี่คือความตั้งใจสูงสูดของเรา

เราใช้กล้วยน้ำว้าแท้ 100%โดนไม่ปนกล้วยหักมุก เพราะเราผลิตยาไม่ใช่อาหาร


ราคา 1 กิโลกรัม 400 บาท ส่งฟรี (เก็บปลายทางเพิ่ม 50 บาท)





#สรรพคุณจากงานวิจัย

ผงกล้วยดิบจะช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ โดยกระตุ้นการหลั่งเมือก เพิ่มความหนาและความแข็งแรงของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ลดความเป็นกรดของกระเพาะอาหาร ร่วมกับการออกฤทธิ์สมานแผลบริเวณกระเพาะอาหาร

การรับประทานกล้วยดิบเพื่อรักษาโรคกระเพาะ
ในการใช้แบบพื้นบ้าน จะนำผงกล้วยดิบ 1-2 ช้อนโต๊ะชงน้ำร้อนดื่ม หรือผสมกับน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน รับประทานก่อนอาหารและก่อนนอน



























วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2562

ใบมะรุมตากแห้งและบด ปลอดสารพิษเพราะปลูกเอง

ใบมะรุมตากแห้งและบด ปลอดสารพิษเพราะปลูกเอง

ราคาขายส่ง-ปลีก  300/1โล(ค่าจัดส่ง 100 บาท)
สั่งสินค้า โทร+ไลน์+ข้อความได้ 0809898770




ใบมะรุมบดปลูกโดยสวนราชินีเองไม่ได้รับซื้อจากใครมาทำ
ปลอดสารพิษเพราะทำเกษตรปลอดสารมา10ปี และปลูกสมุนไพรหลายชนิด

จากการสืบค้นข้อมูลจากรายงานการวิจัย พบข้อมูลดังนี้
ใบมะรุม: ใช้ล้างแผล ใช้ทาและพอกแผล ถูนวดขมับขณะปวดศีรษะ รักษาโรคริดสีดวงทวาร แก้ไข้ แก้เจ็บคอ ติดเชื้อในหูและตา เลือดออกตามไรฟัน เป็นหวัดน้ำมูกไหล หลอดลมอักเสบ นอกจากนี้น้ำจากใบยังใช้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด, ใช้ทาเพื่อลดอาการบวมของต่อม ใช้เพิ่มน้ำนมให้กับหญิงที่ให้นมบุตร และยังมีการใช้เป็นยารักษาโรคโลหิตจาง, สารสกัดจากใบมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย








วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2562

กระเทยขี้สงสัย..อยากจะถามว่าหากกินยารากสามสิบแล้วเราจะสามารถมีหน้าอกและผิวพรรณต่างๆ เหมือนผู้หญิงขึ้นมาไหม

กระเทยขี้สงสัย..อยากจะถามว่าหากกินยารากสามสิบแล้วเราจะสามารถมีหน้าอกและผิวพรรณต่างๆ เหมือนผู้หญิงขึ้นมาไหม





สรรพคุณพื้นบ้านจะใช้รากสามสิบเป็นยาบำรุงสำหรับสตรี 

  • ส่วนการใช้ในผู้ชายจะเป็นช่วยเพิ่มพลังทางเพศ 
  • ในส่วนของงานวิจัยพบว่า รากสามสิบมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง) ซึ่งอาจมีผล กระทบต่อสมดุลของระดับฮอร์โมนเพศตามปกติของผู้หญิงได้ 


  • แต่ยังไม่พบข้อมูลว่าผู้ชายใช้แล้ว จะมีหน้าอกหรือผิวพรรณเหมือนผู้หญิงหรือไม่มี

สนใจสั่งซื้อ โทร+ไลน์ 0809898770



วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2562

กระชาย

 กระชาย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Boesenbergia rotunda (L.) Mansf.



มีสรรพคุณในการบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ รูมาตอยด์ เกาท์ ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ปวดท้อง และโรคกระเพาะ

โดยมีรายงานฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่สัมพันธ์กับการช่วยลดอาการปวดข้อคือ ฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยพบว่าสารสกัดจากรากกระชายและสารสำคัญที่พบมีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่หู นอกจากนี้มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งสารสื่อกลางการอักเสบ ได้แก่ nitric Oxide (NO), prostaglandin E2 (PGE2), tumour Necrosis Factor Alpha (TNF-α), interleukin-1β (IL-1β), และ interleukin-6 (IL-6) และสาร cardamonin ที่พบในกระชายมีฤทธิ์ลดอาการปวด อักเสบและการทำลายข้อในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

กล้วยดิบกับขมิ้นชัน


0809898770

กล้วยดิบกับขมิ้นชัน
กล้วยดิบและขมิ้นชันต่างสามารถใช้บรรเทาอาการโรคแผลในกระเพาะอาหารได้เหมือนกัน แต่อาศัยการออกฤทธิ์ต่างกัน โดยผงกล้วยดิบจะช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ โดยกระตุ้นการหลั่งเมือก เพิ่มความหนาและความแข็งแรงของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ลดความเป็นกรดของกระเพาะอาหาร ร่วมกับการออกฤทธิ์สมานแผลบริเวณกระเพาะอาหาร ส่วนขมิ้นชันจะเน้นที่ฤทธิ์ต้านการอักเสบ กระตุ้นการหลั่งเมือก คลายกล้ามเนื้อเรียบ ซึ่งช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ ทำให้อาการปวดท้องและไม่สบายท้องของผู้ป่วยลดลง

 📦ผงกล้วยดิบแนะนำชงกับน้ำอุ่นนะ​ มีกลิ่นหอมกล้วยอ่อนๆ​
#วิธีการชง ชงผงกล้วย 1 ช้อนโต๊ะ/น้ำอุ่น 1 แก้ว ทานก่อนอาหาร เช้า กลางวัน เย็น
#ป้องกันและบรรเทาอาการกรดไหลย้อย โรคกระเพา
📦กระเพาะอาหารแข็งเเรงขึ้น
📦สมานเเผลในกระเพาะอาหาร
📦บรรเทาเเละป้องกันโรคกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน

📦กล้วยดิบ นั้นมี แทนนิน สารฝาดสมานสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ดี จึงช่วยป้องกันผนังกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ให้เชื้อโรคและของรสเผ็ดจัด เช่น พริก เข้าไปทำลายผนังเนื้อเยื่อกระเพาะลำไส้ ช่วยแก้ท้องเสียได้ดี

📦เราใช้อุณหภูมิไม่เกิน 50 องศา เพื่อรักษา สารในกล้วยที่มีฤทธิ์รักษาโรคกระเพาะนั้นไม่ให้หมดฤทธิ์ ในการรักษา(เราเน้นมาก)

📦ราคา ผงกล้วยน้ำว้าดิบ 300กรัม 300 บาท ส่งฟรี
📦500 กรัม 460 บาท ส่งฟรี
📦ราคา 1000 กรัม 850 บาท ส่งฟรี
📦0809898770 โทร+ไลน์
#เราเป็นสวนกล้วยเองทำสดๆไม่มีเหม็นอับแบบโรงงาน

หญ้าลิ้นงู

 หญ้าลิ้นงู (Oldenlandia corymbosa L.) สรรพคุณพื้นบ้านระบุว่า ใช้ทั้งต้นต้มเอาน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้และแก้ปวดท้อง หรือใช้ล้างแผลฝีบวม แผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก ส่วนงานวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่า สารสกัดเอทานอลจกใบและส่วนลำต้นเหนือดินมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์ตับ และยับยั้งเซลล์มะเร็งบางชนิดเมื่อทดสอบในหลอดทดลอง (in vitro) ส่วนการทดสอบในสัตว์ทดลองพบว่าสารสกัดน้ำและเอทานอลมีฤทธิ์สมานแผลและแก้ปวด และยังไม่พบงานวิจัยทางคลินิก

Ref :
1. หนังสือองค์ความรู้เรื่องพืชป่าที่ใช้ประโยชน์ทางภาคเหนือของไทย
2. Sivapraksam SSK., Karunakaran K., Subburaya U., Subashini TS. A Review on Phytochemical and Pharmacological Profile of Hedyotis corymbosa Linn. Int. J. Pharm. Sci. Rev. Res. 2014; 26(1): 320-4.

สมุนไพรที่สามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูก

 สมุนไพรที่สามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้มีหลายชนิด เช่น ชุมเห็ดเทศ มะขามแขก แมงลัก และตรีผลา ซึ่งประกอบด้วยสมุนไพร 3 ชนิด คือ สมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อมด้วยอัตราส่วน 1:1:1 โดย
               1) ชุมเห็ดเทศ ใช้ใบ 8 - 12 ใบ ตากแดดให้แห้ง ป่นเป็นผงชงกับน้ำเดือด รินน้ำดื่มขณะอุ่น หรือใช้ดอก 1 ช่อ กินสดๆ เป็นยาระบาย หรือใช้ใบและก้านขนาดใหญ่ ประมาณ 3 – 5 ช่อ นำมาต้มกับน้ำประมาณ 2 ขัน (1500 มล.) ต้มให้เดือดเหลือน้ำประมาณ 1/2 ขัน ใส่เกลือพอมีรสเค็มเล็กน้อย ดื่มวันละ 1 แก้ว (250 มล.) หรือใช้ใบสดหรือแห้งประมาณ 12 ใบ ต้มกับน้ำดื่มครั้งละแก้ว อาการอันไม่พึงประสงค์ที่อาจพบได้ คือ คลื่นไส้ มวนท้อง ปวดท้อง ท้องเสีย
               2) มะขามแขก ใช้ใบแห้ง 1 - 2 กำมือ (หนัก 3 - 10 ก.) ต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้วิธีบดเป็นผงชงน้ำดื่ม หรือใช้ฝัก 4 - 5 ฝัก ต้มกับน้ำดื่ม บางคนดื่มแล้วเกิดอาการไซ้ท้อง (ฝักจะมีผลข้างเคียงน้อยกว่าใบ) แก้ไขได้โดยใช้ร่วมกับยาขับลมจำนวนเล็กน้อย แต่การใช้มะขามแขกเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการทำลายระบบประสาทที่ใช้ควบคุมการบีบตัวของลำไส้ ทำให้การทำงานของลำไส้ใหญ่ลดลง ร่างกายจะเคยชินกับการกระตุ้นด้วยมะขามแขก และไม่ถ่ายอุจจาระด้วยตนเองตามปกติ และเมื่อใช้ติดต่อกันนานๆ อาจทำให้เกิดการดื้อยา และต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อยๆ จึงแนะนำว่าให้ใช้เป็นครั้งคราวเมื่อมีอาการ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าการใช้มะขามแขกติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้เอนไซม์ในตับสูงขึ้น รวมทั้งอาจทำให้เกิดอาการตับบกพร่องและไตวายเฉียบพลัน ดังนั้นจึงไม่ควรใช้บ่อยๆ หรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน และผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับตับและไตควรหลีกเลี่ยง หรือใช้ภายใต้ความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
               3) แมงลัก นำเมล็ดแมงลักมาแช่น้ำจนพองเต็มที่ แล้วจึงรับประทาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มกากใย ทำให้การขับถ่ายสะดวกขึ้น
               4) ตรีผลา โดยทานตรีผลาขนาด 2.5 กรัม วันละ 2 ครั้ง จะช่วยให้การระบายดีขึ้น หรือรับประทานในรูปแบบของเครื่องดื่มวันละ 2 เวลา เช้า - เย็น ครั้งละ 1 แก้ว สำหรับสมุนไพรตรีผลา สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาสมุนไพร เช่น ร้านเจ้ากรมเป๋อค่ะ
               แต่อย่างไรก็ตามอาการท้องผูกมักเกิดจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตนเอง เช่นการขับถ่ายไม่เป็นเวลา การรับประทานอาหารที่ไม่ค่อยมีกากใย ดังนั้นการแก้ไขพฤติกรรมจึงเป็นการป้องกันและการรักษาท้องผูกที่ดีที่สุด เช่น หากขับถ่ายไม่เป็นเวลา ควรแก้โดยฝึกนิสัยตนเองให้พยายามถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา โดยต้องทำให้เคยชินและเป็นประจำทุกวัน หากอยากถ่ายควรรีบถ่าย หมั่นออกกำลังกาย โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อหน้าท้อง ดื่มน้ำสะอาดให้มากพอ รับประทานผักและผลไม้เป็นประจำทุกวันหรือทุกมื้อเพื่อเพิ่มกากใยและช่วยกระตุ้นการขับถ่าย